วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เทพเจ้าจีน

เทพเจ้าจีน


เทพผานกู



ตอนเริ่มแรกยังไม่มีสรรพสิ่งเกิดขึ้น ชาวจีนจินตนาการว่าจักรวาลนั้นเสมือนไข่ฟองหนึ่ง ภายในเปือกไข่ันั้นก็มีแต่ความมืดมัวมืดมน และแล้วภายในไข่นั้นก็มีสิ่งๆหนึ่งอาศัยอยู่นั้นคือ ผานกูนั้นเอง ผานกูอยู่้ในไข่เป็นเวลามานานกว่า 18000 ปี จึงตื่นขึ้นจากการนิทรามาอย่างยาวนานตั้ง18000ปี เมื่อผานกูตื่นขึ้นมาก็พบกับความมืดและความอึดอัด ผานกูไม่ชอบในสภาพอย่างนี้เขาเลยทำการทลายไข่ฟองนี้โดยใช้ขวานที่เป็นอาวุธคือกายฟันฝ่้าจนไข่นั้นแตกออกจากกันเป็นสองซีก ละอองควันภายในไข่ที่ถูกกักขังมานานก็ลอยขึ้นไปเป็นท้องฟ้า และเปลือกไข่ก็จมสลายจนกว่าเป็นดิน ฟ้า - ดินก็ได้บังเกิดขึ้น เมื่อฟ้ากับดินแยกออกจากกันแล้ว แต่ผานกูก็ยังกลัวว่าฟ้ากับดินจะกลับมาร่วมตัวกันอีกและตนเองก็ต้องอึดอัดเป็นอีกแน่  ผานกูจึงค่ำฟ้าโดยให้มือดันฟ้าขึ้น ส่วนดินใช้เท้าเหยียบไว้เขาทำเช่นนี้เป็นเวลานานกว่าหมื่นปีจนฟ้าและดินแยกออกจากกันอย่างถาวรแน่นอน ผานกูได้หมดพลังลงหลังจากการใช้ร่างของตนแยกฟ้ากับดินมานานกว่าหมื่นปี ร่างกายของผานกูก็กลายเป็นโลกใบนี้ ซึ่งมีผู้บรรยายว่า ร่างกายของผานกูกลายเป็นโลก ซึ่งส่วนต่างๆแม้อวัยวะบางอย่างก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกได้แก่
- ดวงตาทั้งสองข้างกลายเป็นดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์
- เส้นผมกลายเป็นดวงดาว
- กระดูกกลายเป็นภูเขา
- ผิวกลายเป็นดิน
- ฟันกลายเป็นแร่ทองคำ
- ไขข้อกลายเป็นมุกและหยก
- เลือดกลายเป็นน้ำไหลไปเป็นแม่น้ำลำคลองและมหาสมุทร
- เหงื่อกลายเป็นบ่อน้ำและฝน
- ลมหายใจกลายเป็นสายลม
      ซึ่งว่าได้ว่าโลกของเราก็คือผานกูนั้นเอง ท่านยังคงทำหน้าที่ของท่านเพื่อสรรพสิ่งทั้งหลาย เมื่อร่างของผานกู่กลายเป็นโลกแล้ว ร่างทิพย์ของผานกู่ก็ลอยไปในห้วงอากาศเดินทางไปในที่ต่างๆกลายเป็นเทพ และแล้วผานกู่ก็พบเข้ากับเทพธิดานามว่า     "ไท่หยวน" ซึ่งนางกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่บนยอดเขาสูง เทพผานกู่ยินดีเ้ป็นอย่างยิ่งที่พบเทพธิดาไท่หยวนและพระองค์ก็เนรมิตร่างกลายเป็นลำแสงสีขาวพุ่งเข้าปากของเทพธิดา จากนั้นเทพธิดาก็ทรงท้องนานถึง 12 ปี (เทพเขาอุ้มท้องกันนานจริงๆ) แล้วให้กำเนิดเป็นบุตรชาย นามว่า "ง่วนสีเทียนกุ๋น" ต่อมาก็กลายเป็นเทพสูงสุดแห่งลัทธิเต๋า (ตีได้ว่า ง่วนสีเทียนกุ๋นนั้นก็คือเทพผานกู่ หรือไม่ก็เป็นโอรสของเทพผานกู่ก็ได้) 
 อีกตำนานหนึ่งของเทพผานกู่โดยตำนานนี้เกิดขึ้นมาหลังจากที่จีนรับพระพุทธศาสนาเข้ามาในสมัยราชวงศ์ถัง ตำนานนี้มีอยู่ว่า เทพผานกู่ทรงเป็นศิษย์แห่งพระพุทธองค์ (พระสมณโคดมพุทธเจ้า ก็คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หรือรู้จักกันในนาม พระศากยมุนีพุทธเจ้านั้นเอง) พระพุทธองค์ทรงเลเห็นว่าแผ่นดินทางทิศใต้นั้นยังคงมืดอยู่ พระองค์จึงจะให้ศิษย์คนใดคนหนึ่งเดินทางไปเบิกฟ้าเปิดดิน มีเพียงผานกู่เท่านั้นที่รับอาสาจากพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงถามผานกู่ว่า
"เธอจะทำหน้าที่นี้สำเร็จได้หรือไม่?"
"ข้าแต่ท่านอาจารย์ศิษย์ทำได้สำเร็จแน่ แต่ศิษย์เกรงแต่ว่าศิษย์จะหลงไหลในดินแดนใหม่นี้"
"เมื่อเธอมั่นใจแล้วจะกลัวอันใด เธอจะได้กลับมายังที่นี้อีกครั้งเมื่อเสร็จภารกิจ"
     ผานกู่น้อมรับพุทธโองการแล้วเหาะไปยังดินแดนทิศใต้ที่มืดสนิืทผานกู่เนรมิตร่างของตนให้กลายเป็นมนุษย์ที่มีร่างกายใหญ่โต นามว่า "พนโกสีย์" โดยมีขวานเป็นอาวุธ และใช้ขวานนั้นเจาะลงบนความมืดผ่าออกเป็นสองส่วน มีแสงสว่างลอยออกมาจากความมืดกลายเป็นท้องฟ้า และความมืดนั้นก็ค่อยๆสลายกลายเป็นดิน แล้วสลักเป็นอักษรทิ้งไว้ว่า "ข้า พนโกสีย์ได้ทำการเบิกฟ้าเปิดดินเป็นอันสำเร็จแล้ว" หลังจากนั้นพอเสร็จหน้าที่ผานกู่ก็ไม่ยอมกลับไปยังแดนสุขาวดี ยังคงหลงระเริงอยู่ในดินแดนทิศใต้นี้ พระพุทธองค์ทรงโปรดให้พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (เจ้าแม่กวนอิม)  ไปเตือนผานกู่และพากลับแดนสุขาวดี พระโพธิสัตว์เสด็จมายังดินแดนทิศใต้และเข้าโปรดผานกู่ให้เขารำลึกได้ว่าตนเองคือ ผานกู่ โดยพระองค์ชโลมน้ำทิพย์จากแจกันหยดลงบนศีรษะของผานกู่ ผานกู่จำความได้ ผานกู่ตอนนี้ไม่บริสุทธิ์ดั่งแต่เดิมเพราะหลงในโลกียะในดินแดนทิศใต้ ผานกู่จึงขอพระโพธิสัตว์รดน้ำทิพย์จากแจกันนั้นเพื่อชำระมลทิน และผานกู่ก็กลายเป็นผลท้อ พระโพธิสัตว์ทรงนั้นผลท้อนั้นไปถวายพระพุทธองค์ ด้วยความเ้มตตาของพระองค์จึงทรงช่วยผานกู่ให้กลับคือร่างเดิม หลังจากนั้นผานกู่ได้รับภารกิจของพระพุทธองค์ต่างๆ เช่น สร้างพระอาทิตย์ สร้างพระจันทร์ สร้างดวงดาวเป็นต้น 
      แต่ด้วยชาวจีนเป็นคนกตัญญูรู้คุณ รู้ในพระคุณของผานกูซึ่งชาวจีนเชื่อว่าเป็นผู้สร้างโลก ด้วยพระคุณที่พระองค์ทำให้มีโลกให้เราได้อยู่อาศัย ชาวจีนจึงเคารพนับถือในตัวเทพผานกู ถูกยกย่องเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผานกูเทพผู้แยกฟ้าแยกดิน ผานกูเทพบิดร ผานกูปฐมเทพ.... 



เจ้าแม่หนี่วา เทพมารดรแห่งชนชาวจีน



ชาวจีนมีความเชื่อว่าพวกตนและมนุษย์ทั้งปวงเกิดขึ้นมาเทพธิดาแห่งสรวงสวรรค์ในยุคดึกดำบรรพ์นามว่า "หนี่วา"เจ้าแม่หนี่วาทรงเป็นผู้สร้างมนุษยชาติจากดินเหนียว ครั้งกำเนิดโลกและสวรรค์ขึ้นมานั้น เทพธิดาองค์หนึ่งนามว่า " หนี่วา " ทรงลงมายังโลกพบกับบรรยากาศที่งดงามแต่กลับเงียบเหงา พระองค์จึงทรงหยิบดินเหนียวมาปั้นเป็นรูปมนุษย์เพศชายกับเพศหญิงขึ้นมาจำนวนหนึ่ง แล้วพระองค์ก็ทรงมอบพลังชีวิตให้ มนุษย์จึงก่อกำเนิดบนโลกใบนี้

     แต่บางตำนานกลายว่ามนุษย์เป็นบุตรของพระองค์กับเทพฝูซีผู้เป็นพี่ชายและสามีด้วย และชาวจีนก็เชื่อว่าตนเป็นลูกหลานของเจ้าแม่หนี่วากับเทพฝูซี  
อีกตำนานกล่าวว่า เ้จ้าแม่หนี่วาอภิเษกกับเทพฝูซี อยู่กินกับฉันสามีภรรยา พอเทพฝูซีไปทำภารกิจด้านนอก เจ้าแม่หนี่วาเกิดความคิดถึงเทพฝูซีผู้เป็นสามีเป็นกำลัง ด้วยความคิดถึงจึงหยิบดินเหนียวมาจำนวนหนึ่งและปั้นเป็นตุ๊กตาดินเหนียวเล็กๆ ที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายเทพฝูซี แต่ด้วยพลังของเทพที่ซึมซับสู่ตุ๊กตาดินเหนียว มันจึงมีชีวิตมันวิ่งไปวิ่งมาไม่หยุด เจ้าแม่จึงสงสัยและคิดได้ว่ามันไม่ไม้ดวงตาและจะเห็นอะไรได้ เจ้าแม่ทรงนำเม็ดทรายสีดำมาวางไว้บนใบหน้าเป็นดวงตาสองดวง เจ้าแม่ด้วยความเหงาจึงจะชวนเจ้าตุ๊กตาดินเหนีัยวคุย แต่มันยังไม่มีปากเจ้าแม่จึงเขียนปากลงบนใบหน้า เจ้าแม่คิดว่าคราวนี้คงไม่เหงาิอีกแล้ว แต่พระองค์พูดอะไรไปเจ้าตุ๊กตาก็ไม่ตอบกลับ เจ้าแม่ลองพินิจดูที่แท้มันไม่มีหูแล้วจะฟังเรารู้เรื่องได้เช่นไร เจ้าแม่จึงเจาะรูหูให้ จากนี้เจ้าแม่หนี่วาจะไม่เหงาอีกต่อไปพระองค์สนุกกับเจ้าตุ๊กตาดินเหนียวตัวจิ๋ว และแล้วพระองค์คิดสนุกสร้างตุ๊กตาที่เหมือนกันขึ้นมามากมาย มีความแตกต่างกันไป มีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ หนุ่มสาว เพศชาย เพศหญิง พระองค์ต้องการให้มีจำนวนเยอะขึ้น จึงใช้เส้นด้ายจุ่มลงไปในดินเหนียวและสะบัด เศษดินเหนียวนั้นก็จะเกิดขึ้นมาเป็นคนมากมาย แต่ด้วยความไม่ประณีตของเจ้าแม่ มนุษย์ที่เกิดมาในครั้งนี้จึงไม่สมบูรณ์ บ้างพิการ บ้างอัปลักษณ์ คนเราจึงมีความแตกต่างตามความเชื่อของชาวจีนในตำนานนี้ 
ในสมัยโบราณคิดว่า เจ้าแม่หนี่วาทรงมีรูปลักษณ์ที่มีท่อนบนเป็นหญิงงามแต่ท่อนล่างเป็นงู ซึ่งงูเป็นสัญลักษณ์แห่งน้ำ บางตำราว่าเป็นมังกร ซึ่งชาวจีนในวิถีชีวิตก็อยู่กับสายน้ำอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นรูปลักษณ์ของนางฟ้าซึ่งสถิตอยู่บนสรวงสวรรค์ และภารกิจของพระองค์ซึ่งได้สร้างมนุษย์ขึ้นมานั่นกลายเป็นถูกใจของประมุขสวรรค์มาก....แต่เจ้าแม่หนี่วายังทรงเป็นห่วงลูกหลานของพระองค์ ครั้งที่ฟ้าเกิดรั่ว เจ้าแม่ทรงหลอมหิน 5 สี ขึ้นเพื่อนำไปอุดที่รูรั่วที่ขอบฟ้า
มีตำนานเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงราชวงศ์ซางของจีน ซึ่งตรงกับรัชสมัยของฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ซาง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นทรราช ครองแผ่นดินไม่อยู่ในคลองธรรม ปกครองไพร่ฟ้าำไม่ร่มเย็นเป็นสุข หลงอยู่ในสุรานารีไม่สนใจในราชกิจบ้านเมือง นามว่า "โจ้งหวัง" ฮ่องเต้พระองค์นี้ทรงต้องเสด็จไปนมัสการศาลเจ้าแม่หนี่วาตามธรรมเนียมราชประเพณี แต่ด้วยความบ้านราคะโลกีย์เป็นหนักอยู่แล้ว พอได้พบกับเทวรูปของเจ้าแม่หนี่วาที่สวยงดงามดั่งนางฟ้านางสวรรค์ (แสดงว่าในยุคนั้นเจ้าแม่หนี่วาถูกสร้างให้มีลักษณะคล้ายมนุษย์แล้ว) ฮ่องเต้ชั่
วพอพระทัยกับรูปโฉมของเจ้าแม่หนี่วา ถึงกับกล่าวว่า ว่า "งามเหนือสตรีใดในใต้หล้า  หากข้ามีบุญวาสนานั้นไซร้จะรับท่านไปเป็นมเหสีครองเมือง" คำกล่าวนี้เป็นการดูหมิ่นเจ้าแม่หนี่วาเป็นอันมาก พระแม่กริ้วจึงสาปแช่งในราชวงศ์ซางถึงกาลล้มสลาย เจ้าแม่หนี่วาส่งปีศาจจิ้งจอกเก้าหางมาทำลายโจ้งหวังฮ่องเต้ โดยเข้าสิงร่างของพระสนมเอก และนางก็หลอกล่อให้พระองค์ไม่สนใจในราชกิจการเมืองหนักกว่าเดิม จนพสกนิกรย่ำแย่ และแล้วเหล่าขุนนางตงฉินทั้งหลายก็สนับสนุนเชื้อพระวงศ์บางพระองค์ขึ้นมาเป็นกษัตริย์พระองค์ต่อไป ส่วนโจ้งหวังฮ่องเต้ก็สูญพระชนม์คำสาปแห่งเจ้าแม่หนี่วา ราชวงศ์ซางถึงกาลดับสูญ 



เง็กเซียนฮ่องเต้



 ตามคติความเชื่อของลัทธิเต๋าของจีน เชื่อว่ามีประมุขที่ใหญ่สูงสุดในสวรรค์ คือ ประมุขฟ้า ซึ่งมักรู้จักกันว่าเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้หรือ อวี้หวงต้าตี้ ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ ซึ่งถ้าเทียบได้ก็คือ ฮ่องเต้นั่นเองซึ่งตำแหน่งนี้มีหน้าที่ปกครองทั้ง 3 ภพ สร้างความสงบสุขใน3ภพด้วย พระองค์ทรงเป็นใหญ่เหนือกว่า
พญามังกร(เจ้าสมุทร) พระยายม(เจ้านรก) เทพ 2 องค์นี้จะรับคำสั่งและหน้าที่จากเง็กเซียนฮ่องเต้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการให้ฝน พระองค์ก็จะสั่งให้เทพมังกรไปปล่อยตามสถานทีต่างๆที่ระบุ ส่วนการคุมกฎแห่งฟ้า การเกิดแก่เจ็บตาย บัญชีมรณะ ซึ่งเป็นหน้าที่ของพระองค์เช่นกัน แล้วพระองค์ก็มอบหน้าที่ให้พระยายมราชดูแลเพื่อตัดสินกรรม ถ้ากรรมดีก็ไปภพที่ดี ถ้ากรรมชั่วก็จะตกนรก อย่างนี้เป็นต้น
ชาวจีนยกย่องเง็กเซียนฮ่องเต้ หรือ อวี้หวงต้าตี้ (พระเจ้าหยก) เป็นเจ้าแห่งจักรวาล ประมุขแห่งฟ้า พระัองค์ทรงสามารถควบคุม พระอาทิตย์ พระจันทร์ ลม ฟ้า ซึ่งเป็นธรรมชาติ และตลอดจนการดำรงชีพของมนุษย์ เช่น การเกิด การตาย อายุขัย แต่กว่าพระองค์จะมาถึงในจุดๆนี้พระองค์ทรงผ่านอุปสรรคต่างๆนานานับประการ ความเป็นมาแห่งเง็กเซียนฮ่องเต้ตามเทวตำนานมีดังนี้ พระองค์เป็นพระโอรสแห่งกษัตริย์ประเทศกวงเหยียนเมี่ยวเล่อ คือ จักรพรรดิจิ้งเต๋อ ซึ่งพระองค์ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว แต่ยังไม่มีพระโอรส พระธิดาที่จะสืบพระราชสมบัติเสียที พระองค์ทรงให้ราชครูและนักพรตมากมายทำการขอพระโอรสจากสวรรค์นานเป็นครึ่งปี 
  จนพระนางเป่าเย่ว์กวงซึ่งเป็นพระมเหสีทรงพระสุบินว่า มี นักพรตก็คือ ไท่เสียงเล่ากุนนั่งรถเทียมมังกร 5 สี มาพร้อมกับเซียนหลายพระองค์ ไท่เสียงเหล่ากุนเดินเข้ามาพระนางโดยอุ้มเด็กทารกที่มีแสงสว่างรอบตัวทำให้พระราชวังสว่างไสว พระนางปิติปรารถนาเด็กทารกนั้นมาเป็นพระโอรส จึงวินวอนขอจากไท่เสียงเล่ากุน ไท่เสียงเล่าทุนมอบเด็กน้อยนั้นให้แก่พระนาง หลังจากนั้นพระนางก็ทรงพระครรภ์เป็นเวลา1ปีและให้กำเนิดพระโอรส พระโอรสมีความเมตตากรุณา ชอบประกอบทำทาน ช่วยเหลือพสกนิกร และต่อมาพระราชบิดาก็สวรรคต ซึ่งต่อมาพระองค์ก็ขึ้นปกครองแทนพระราชบิดา แต่ว่าพระองค์กลับเบื่อในการปกครองและราชสมบัติ พระองค์ทรงมอบพระราชบัลลังก์และราชสมบัติให้แก่พระญาติ แล้วพระองค์เองทรงออกบวชศึกษาธรรมยังเขาฝู่หมิงซิ่ว พระองค์ต้องผ่าฟันอุปสรรคนัก 3,200 จึงจะบรรลุเป็นเทพ กลายเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ประมุขฟ้า เจ้าผู้ครองสวรรค์นั่นเอง แต่ตอนนี้มีความเชื่อว่า ประมุขจะมีการเปลี่ยนเหล่าเทพจะผลักกันขึ้นเป็น แต่ประมุของค์ปัจจุบันคือ เทพเจ้ากวนอู นั่นเอง.... 



โป๊ยเซียน



โป๊ยเซียนเป็นคณะเซียนที่มีเซียน 8 องค์ ซึ่งชาวจีนเชื่อในความเป็นสิริมงคล ว่าเซียนแต่ละองค์จะมีความเป็นมงคลและความศักดิ์สิทธิ์ต่างกันไป ซึ่งแต่ทีโป๊ยเซียนไม่ได้รวมเป็นกลุ่มดั่งในตอนนี้ ซึ่งแต่เดิมเชื่อว่าเป็นเซียนตัวใคนตัวมัน แต่ถูกจับมารวมกันให้ความเป็นมงคลนั่นเอง แต่ก็มีตำนานว่า เซียนทั้ง 8 แต่ก่อนเป็นมนุษย์ซึ่งได้ช่วยกันจนเป็นเซียน จึงเป็นกลุ่มโป๊ยเซียน และคณะโป๊ยเซียนมีเซียนดังต่อไปนี้

1. ทิก๋วยลี้ เซียนรูปร่างเป็นชายหัวล้านขาเป๋ถือไม้เท้าแขวนน้ำเต้า
2. ฮั่นเจงหลี เซียนรูปร่างเป็นชายตัวอ้วน ดูใจดียิ้มแย้ม อารมณ์ดี ถือพัด
3. ลื่อทงปิน เซียนเป็นชายหนุ่มเป็นจอมยุทธ์ มีกระบี่เป็นอาวุธประจำกาย
4. เจียงกั๋วเล้า เซียนเป็นคนชราขี่ลาเป็นพาหนะ
5. น่าใช้หัว เซียนเป็นชายหนุ่มอารมณ์ดี ถือตระกร้าดอกไม้
6. ฮ่งเซียนไกว เซียนเป็นหญิงงาม ถือดอกบัว
7. ฮั่นเซียงจื้อ เซียนเป็นชายหนุ่มเป่าขลุ่ย
8. เช่าก๊กกู่ เซียนแต่งกายในชุดขุนนาง 
โดยมีความเป็นมาของโป๊ยเซียนว่า 

 เดิมทีทิก๋วยลี้เป็นชายหนุ่มรูปงาม แต่เบื่อความสุขทางโลกจึงออกบวชแสวงทางหลุดพ้น ( การบรรลุเป็นเซียน ) ตอนนั้นเจ้าแม่ซีหวังหมู่เล็งเห็นว่า เขามีวาสนาเป็นเซียนจึงลงมาชี้แนะ จนทิก๋วยลี้สามารถถอดจิตออกจากร่างได้ ( กายทิพย์ คือว่ากลายเป็นเซียนแล้ว ) แต่ก่อนที่ทิก๋วยลี้จะถอดกายทิพย์ได้สั่งลูกศิษย์ไว้ว่า ห้ามนำร่างของตนไปทำอะไร ถ้าเลย 7 วันไปให้นำไปเผาได้เลย แต่ไม่ได้เป็นไปตามนั้น เกิดแม่ของลูกศิษย์เสียชีวิต ลูกศิษย์ก็ต้องกลับบ้านไปทำการฝังศพ แต่จะปล่อยร่างอาจารย์ทิ้งไว้ก็จะเป็นอันตรายจึงเผาเสีย แต่กายทิพย์ทิก๋วยลี้กลับมาก็หาร่างไม่เจอ จึงไปเข้าร่างของคนขอทานขาเป๋ ทิก๋วยลี้จึงกลายเป็นเซียนขาเป๋มาจนถึงเดี๋ยวนี้ 

ส่วนฮั่นเจงหลีเดิมทีเป็นลูกชายของเจ้าเมือง ซึ่งเกิดมาอย่างมีความสุขในชีวิต เพราะเกิดในครอบครัวขุนนางนั่นเอง แตพอเติบโตเป็นหนุ่ม เกิดสงคราม ฮั่นเจงหลีจึงต้องไปร่วมรบด้วย แต่ได้หนีสงครามมาและเกิดคิดความไม่เที่ยงของชีวิต จึงไปบำเพ็ญในป่าไม่กลับบ้าน จนทิก๋วยลี้มาพบและแนะวิธีการเป็นเซียนจึงบรรลุเป็นเซียน ตอนนี้ละทิก๋วยลี้กับฮั่นเจงหลีก็ออกเดินทางไปช่วยคนที่อยากบรรลุเป็นเซียน

ส่วนลื่อทงปิน เดิมเคยสอบจอหงวนแต่ไม่ผ่านถึง 2 ครั้ง จึงออกเดินทางเร่ร่อนพเนจรไปไม่เป็นหลักแหล่ง จนมาพบฮั่นเจงหลี ได้แนะนำทางสว่างให้บรรลุเซียน แต่พอลื่อทงปินเป็นเซียนก็ได้ช่วยเหลือผู้คนจากภูตผีปีศาจ โดยใช้กระบี่นั้นปราบ
ส่วนเจียงกั๋วเล้า เดิมทีเป็นค้างคาวยักษ์บำเพ็ญเพียรอย่างบริสุทธิ์ จนสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่เป็นชายชรา และได้ออกช่วยเหลือผู้อื่นจนกลายเป็นที่รักของผู้คน และได้กลายเป็นเซียนในที่สุด

 ส่วนเจียงก๋วยเล้า เดิมเป็นค้างคาวเผือกอยากเป็นคน จึงบำเพ็ญเพียรจนกลา่ยเป็นชายชรา และเป็นที่รักของผู้คนมากมาย เพราะเป็นชายชราที่มีความเมตตา เวลาเดินทางไปไหนมักจะขี่ลาเหาะเหินไปโดยนั่งหันหลังเสมอ 

ส่วนนำใช้หัว เดิมเป็นขอทานแต่ต้องการส่งความสุขให้ผู้อื่น จึงมักนำดอกไม้ใส่ตระกร้าไปชูยื่นให้ผู้คนชมและมีความสุขนั่นเอง แต่ด้วยนำใช้หัวเป็นคนยากจน จึงขอทานเลี้ยงชีพแต่รักสนุกมักจะร้องเพลงไปด้วยเสมอ วันหนึ่งนำใช้หัวดื่มเหล้าอยู่ที่ร้าน ปรากฏว่านำใช้หัวลอยตัวขึ้นท้องฟ้าซึ่งกลายเป็นเซียน แต่งกายงดงามและถือตระกร้าดอกไม้หลายสีสัน

 ส่วนฮ่งเซียนไกวเดิมเป็นหญิงงามทั้งกายและใจ มักชอบช่วยเหลือผู้อื่น เคยเข้าป่าบำเพ็ญทานอาหารเจเป็นนิจ ซึ่งหวังว่าจะบรรลุเป็นเซียนเพื่อจะได้ช่วยเหลือผู้อื่น แต่นางได้คำชี้แนะจากเซียนให้กินผงไมก้า ( ซึ่งความเชื่อว่าเป็นผงวิเศษ หากกินเข้าไปจะกลายเป็นเซียน ) ซึ่งนางก็เกิดตัวลอยและเหาะเหินได้ซึ่งนางได้กลายเป็นเซียนอย่างสมบูรณ์ 

ส่วนฮั่นเซียงจือ เดิมเป็นหลานของนักกวีในสมัยราชวงศ์ถัง และมีความรักในการดนตรี โดยเฉพาะการเป่าขลุ่ยแต่มีใจรักสันโดษ ตอนหลังได้ศึกษาทางหลุดพ้น จนได้พบกับฮั่นเจงหลี กับ ลื่อทงปิน แนะทางเป็นเซียน จนฮั่นเซียงจือบรรลุเป็นเซียนได้สำเร็จ
ส่วนฮั่้นเซียงจื้อ เดิมเป็นหลานชายของขุนนางในราชสำนัก มีความสามารถสร้างสรรค์ทางดนตรี โดยเฉพาะขลุ่ย แต่ด้วยเบื่อชีวิตทางโลก จึงปลีกวิเวกมาบำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นเซียน

ส่วนองค์สุดท้ายเช่าก๊กกู เดิมเป็นพระอนุชาแห่งพระมเหสีพระเจ้าซ่งเหรินจง คือ พระนางฉื่อเสิ่นกวงเซี่ยง ด้วยมีนิสัยบ้าในอำนาจใช้ไปในทางมิชอบ พอครั้งหลังเกิดความละอายใจจึงออกจากราชการไปบำเพ็ญเพียรศึกษาธรรมะ จนมาพบฮั่นเจงหลีกับลื่อทงปิน และขอติดตามไปด้วยจนได้เป็นเซียนอย่างสมบูรณ์ 

      เซียนทั้ง8ก็รวมตัวกันเป็นคณะโป๊ยเซียนช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์รวมไปถึงการขจัดปีศาจที่ก่อความวุ่นวาย และได้ข้ามทะเลตงไห่ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าได้กลายเป็นเซียนอย่างเต็มตัวทุกๆองค์



นาจา



นาจาเทพผู้พิทักษ์ประตูสวรรค์ ซึ่งรูปลักษณ์เป็นกุมาร มีหอกกับห่วงทองและไหมแดงเป็นอาวุธและมีกงล้อไฟเป็นพาหนะเคลื่อนที่เดินทางไปในที่ต่างๆ ซึ่งได้รับจากเจ้าแม่หนี่วา ความเป็นมาของนาจามีอยู่ว่า
          ตามเทวตำนานกล่าวว่า แม่ทัพนามว่า "หลี่จิ้ง" ซึ่งเป็นผู้เฝ้าด่านเฉินถึงกวาน ภรรยาตั้งครรภ์มานานกว่า 3ปี 6เดือน หลี่จิ้งรู้สึกความผิดปกติถึงกับกล่าวว่า

"มีใครที่ไหนกันจะท้องมานานขนาดนี้ คงไม่ใช่ลูกคนเป็นแน่ คงเป็นปีศาจไม่ก็มาร หากเกิดมาจะกำจัดมันเสีย" 

    ในคืนต่อมาฮูหยินภรรยาแม่ทัพหลี่จิ้งฝันว่า มีนักพรต (คงไม่พ้น ไท่เสียงเหล่ากุน) นำเด็กทารกมาน้อมให้ หลังจากนั้นฮูหยินก็ให้กำเนิดเด็กออกมาเป็นก้อนเนื้อกลิ้งไปกลิ้งมา แม่ทัพหลี่จิ้งว่าอยู่แล้วว่าต้องเป็นปีศาจจึงใช้หอกเข้าแทงและฝ่้าก้อนเนื้อนั้นและมีเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักออกมาจากก้อนเนื้อนั้น (บางตำนานว่าเป็นดวงไฟมิใช่ก้อนเนื้อ) โดยสวมกำไรทองคำมือที่มือข้างขวา สวมเอี๊ยมสีแดง สามวันต่อมาไท่อี่เจินเหรินมาเยี่ยมทารกน้อย และตั้งชื่อให้ว่า "นาจา" แม่ทัพหลี่จังสัมผัสได้ถึงว่าลูกชายคนนี้มิได้เป็นเด็กธรรมดาเสียแล้ว 
 เมื่อนาจาได้อายุ 7 ขวบ ได้ลงเล่นน้ำทะเลตงไห่ ด้วยพลังอำนาจของของวิเศษที่ติดตัวนาจามาแต่กำเนิด คือ กำไลทองคำ (ห่วงฟ้าดิน) เอี๊ยมไหมแดง (แพรคลุมฟ้า) ซึ่งเป็นของวิเศษที่เจ้าแม่หนี่วาประทานให้ นั้นเมื่อคลื่นทะเลกระทกเข้ากับตัวนาจาก็จะเกิดเป็นเสียงดังกัมปนาท ทำให้ทะเลปั่วป่วนแรงสั่นสะเทือกไปถึงวังบาดาลของพญามังกรซึ่งเป็นเจ้าสมุทร ยักษ์ซึ่งเป็นยามเฝ้าวังบาดาลได้ขึ้นมาดูสาเหตุของเสียงกัมปนาทนั้น ก็พบว่าเกิดมาจากของวิเศษของนาจา เจ้ายักษ์จึงอยากที่จะได้ของวิเศษทั้งสองอย่างนั้น แต่กลับถูกนาจาช่วยกำไรทองพาดจนสิ้นชีวิต เจ้าสมุทรทราบว่าคนของตนถูกเด็กซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาฆ่าตายจึงส่งพระโอรสคือ เจ้าชายอ๋าวปิ่งไปปราบเด็กน้อยนาจา ผลออกมาว่าเจ้าชายถูกนาจาถลกสายเอ็นออกได้รับบาดเจ็บทรมานนัก เมื่อเจ้าชายหนีกลับมาวังบาดาล เจ้าสมุทรทราบเข้าก็โกรธจะล้างแค้นแทนพระโอรสแต่กลับถูกนาจาถอดเกร็ดได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่แพ้กัน เจ้าสมุทรโกรธแค้นจึงเรียกพี่น้องซึ่งเป็นเ้จ้าสมุทรประจำทิศอีก 3 ทิศมาช่วยแก้แค้นให้กับตน เจ้าสมุทรทั้ง 4 ร่วมกันจะส่งคลื่นยักษ์มาถล่มด่านเฉินถังกวานให้พินาศ 
 แม่ทัพหลี่จิ้งทราบเรื่องที่ก็ต่อว่านาจาว่าเป็นตัวปัญหาสร้างความเดือนร้อนมาถึงประชาชนชาวด่านเฉินถังกรานและครอบครัว นาจาด้วยเกรงว่าประชาชนชาวด่านเฉินถังกวานจะเดือนร้อนจากอุทกภัยครั้งนี้จึงทำการเลาะกระดูกคืนพ่อ เฉือนเนื้อคืนแม่ และฆ่าตนเองตายตามความต้ิองการของเจ้าสมุทร นาจาสิ้นชีวิตลงแล้วชาวเมืองก็พากันสร้างศาลให้นาจาสถิต พอแม่ทัพหลี่จิ้งทราบก็สั่งให้คนมารื้อศาลทิ้ง เมื่อนาจาไร้ศาลแล้วก็ล่องลอยไปไม่มีจุดหมาย จนมาถึงถ้ำจินกวางต้ง ซึ่งเป็นที่พำนักแห่งไท่้อี่เจินเหริน (คนที่ไปเยี่ยมนาจาเมื่อตอนนาจาเกิดนั้นเอง) ไท่อี่เจินเหรินเห็นใจนาจา จึงเข้าช่วยให้วิญญาณของนาจามีร่าง โดยนำส่วนประกอบต่างๆของบัว เช่น
- ฝักบัว เป็น กระดูก
- รากบัว เป็น เนื้อ
- ใยบัว เป็น เส้นเอ็น
- ใบบัว เป็น เสื้อผ้า
และแล้วไท่อี่เจินเหรินก็ชุบชีวิตนาจาขึ้นมา และมอบกงล้อไฟและปืนปลายไฟ เมื่อนาจาได้ร่างแล้ว ด้วยความแค้นที่มีต่อแม่ทัพหลี่จิ้งผู้เป็นพ่อ ที่ไม่ปกป้องลูกตนเองและยังมาทำลายศาลของตนอีก นาจาจึงตามไปแก้แค้นแม่ทัพหลี่จิ้ง จนแม่ทัพหลี่จิ้งสู้ไม่ไหวจึงเดินทางไปพึ่งพระบารมีของพระพุทธองค์ยังชมพูทวีป (อันนี้มีพุทธเข้ามาเกี่ยวด้วย แสดงว่าเรื่องนี้ถูกแต่งขึ้นใส่ช่วงที่พุทธเข้ามาในจีนแล้ว) นาจาก็ตามมายังชมพูทวีปพอพบแม่ทัพหลี่จิ้งก็หมายจะเข้าสังหาร แต่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้ นาจาไม่ฟังแต่กลับยังจะเข้าทำร้ายพระพุทธองค์อีก พระพุทธองค์ทรงแลเห็นว่านาจาจะต้องปิตุฆาตแน่จึงเนรมิตเจดีย์ครอบนาจาไว้และมีไฟลุก นาจาได้รับความทุกข์ทรมาน นาจาถึงกับกล่าววิงวอนต่อพระพุทธองค์

"ข้าแต่พระพุทธองค์ผู้ทรงซึ่งเมตตาต่อสรรพสิ่ง ข้าน้อยมิอาจจะทนต่อไฟเหล่านี้ได้อีกแล้ว พระองค์ได้โปรดปลดปล่อยข้าออกไปเถิดพระเจ้าข้า"

พระพุทธองค์ทรงถามนาจาว่า

"การกระทำของเธอนั้นเป็นบาปอย่างมหันต์ การจะสังหารปิตุ
มาตบิดาตนเอง ระวังเธอจะได้รับเคราะห์ความทุกข์ทรมานอันเกิดจากกรรมนี้ไม่เป็นอันจบอันสิ้น หากเราปล่อยเธอแล้ว เธอจะรับปากเราได้หรือไม่ว่า จะเลิกคิดทำร้ายสังหารแม่ทัพหลี่จิ้งผู้เป็นบิดา และจะรับเจดีย์นี้ซึ่งเปรียบเป็นตัวเราและเสมือนเหมือนบิดาเ้จ้าเองด้วย"

 "ข้าน้อยขอน้อมรับพระเจ้าข้า"

     พระพุทธองค์ทรงปลดปล่อยนาจาออกจากพระเจดีย์ และมอบให้แม่ทัพหลี่จิ้งไว้ จากนั้นนาจาก็ไม่คิดจะทำร้ายหรือคิดจะสังหารแม่ทัพหลี่จิ้งอีกเลย 
 หลังจากนั้นมาคงจำกันได้ถึงกษัตริย์ทรราช นามว่า โจ้งหวังฮ่องเต้ ซึ่งฮ่องเต้พระองค์นี้ทรงไปดูหมิ่นเจ้าแม่หนี่วาไว้  เจ้าแม่หนี่วากริ้วจึงสาปแช่งให้ราชวงศ์ซางถึงการล้มสลาย และที่ได้กล่าวว่าตอนๆว่า ของวิเ้ศษที่นาจาได้ติดตัวมาแต่เกิดนั้น เป็นของวิเศษที่เจ้าแม่หนี่วาประทานให้ ขุนนางตงฉินที่ต่อต้านฮ่องเต้พระองค์นี้ก็มี แม่ทัพหลี่จิ้งอยู่ด้วยและนาจาก็เข้าร่วมช่วยโค่นล้มฮ่องเต้ทรราชพระองค์นี้ และช่วยสนับสนุน โจวอู่หวัง ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีคุณธรรมให้ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ต่อไป หลังสงครามครั้งนั้น แม่ทัพหลี่จิ้งก็ได้รับแต่งตั้งเป็น ทัวถ่าเทียนหวัง (ท้าวอัญเจดีย์) ส่วนนาจาได้รับแต่งตั้งเป็น จงถานหยวน  
นาจายังปรากฏอยู่ในวรรณกรรมจีน คือ ไซอิ๋ว ที่ต่อกรกับเห้งเจีย ในศึกสวรรค์ และนาจายังได้รับการเคารพนับถือจากคนจีน อย่างว่านาจามีตัวตนในประวัติศาสตร์เป็นบุคคลที่ทำคุณงามความดีช่วยขจัดทรราชในครั้ง ผลจึงได้รับยกย่องเป็นเทพเจ้า และด้วยอิทธิฤทธิ์ของนาจา เหล่าปีศาจจึงเกรงกลัวนาจา ชาวจีนจึงเคารพนาจาในฐานะเทพปราบมารอีกด้วย 





ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : google



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น