วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เทพเจ้าญี่ปุ่น

เทพเจ้าญี่ปุ่น

     เหล่าทวยเทพต่างพากันเริงร่า เล่นวิถีแสดงเป็นตำนานเรื่องราวขับขาน ให้ได้มนุษย์ได้ยำเกรงแลเคารพ พลังเหนือธรรมชาติที่เกรงขาม ถูกยกย่องเป็น "กามิ" สิ่งศักดิ์สิทธิ์ 

เทพเจ้าของญี่ปุ่น ถือกำเนิดโดยมีต้นสายวงศาคณาเทพ โดย อิซานากิ เทพบิดา และ อิซานามิ เทพมารดา


รายชื่อเทพและเทพี

อาจิสุคิทากะฮิโกเนะ : เทพแห่งสายฟ้า
อามาเทราสุ : เทพีแห่งดวงอาทิตย์
อามาสึมิกะโบชิ : เทพแห่งความชั่วร้าย
คามุอิ : เทพีแห่งพระอาทิตย์และพระจันทร์
ฟูจิน คามิคาเซะ : เทพแห่งวายุ
ฟุสึโนะจิ : เทพแห่งไฟและฟ้าแลบ
ฮิจิมัง : เทพแห่งสงคราม เกษตรกรรม เทพผู้ปกป้องบ้านเมือง
อินาริ: เทพแห่งข้าวและเกษตรกรรม
อิซานางิ : เทพแห่งการสร้างและชีวิต
อิซานามิ : เทพีแห่งการสร้างและความตาย
โคโนฮานะซาคุยะ : เทพีแห่งภูเขาไฟฟูจิ
คุคุโนจิ : เทพแห่งต้นไม้
โอยามะสึมิ : เทพผู้ครองภูเขา ทะเล และสงคราม
ไรจิน ไรเด็น : เทพแห่งสายฟ้า และฟ้าแล่บ
ริวจินริวโอ : เทพแห่งทะเล
เซ็นเง็น โคะโนะฮะนะ : เทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิ เจ้าหญิงแห่งดอกไม้
ซารุตะฮิโกะ : เทพแห่งแผ่นดินโลก
ซุซาโนโอะ: เทพแห่งพายุ
ทสึตะฮิเมะ : เทพีแห่งฤดูใบไม้ร่วง
เทนจิน : เทพแห่งการศึกษา
ซึคุโยมิ สึคิโยะมิ : เทพแห่งพระจันทร์
อุเคโมจิ : เทพีแห่งอาหาร
อุซุเมะ : เทพีแห่งอุษาและความสุข
ยะบุเนะ : เทพแห่งบ้านเรือน
ยูคิอนนะ : เทพีแห่งฤดูหนาว นางหิมะ

เทพและเทพีแห่งโชคลาภทั้ง 7

เบนไซเทน เบนเทน : เทพีแห่งความรัก ศิลปะ กวี ปัญญา และวารี
บิชะมงทะมงเทน : เทพแห่งสงคราม ความยุติธรรม และผู้พิทักษ์กฎหมาย
ไดโคะคุเทน : เทพแห่งความมั่งคั่งและดิน
เอบิสึ : เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์แห่งท้องทะเล  และการประมง
ฟุคุโระคุจุ : เทพแห่งปัญญาและความเจริญรุ่งเรือง
โฮเท : เทพแห่งความสุข เสียงหัวเราะ และปัญญาแห่งความรู้แจ้ง
จุโรจิน กะมะ : เทพแห่งความอายุยืน
คิจิโจเทน คุจิคุเทน : เทพีแห่งความงาม (เป็นองค์ที่ 8 ซึ่งเพิ่มมาภายหลัง แต่โดยรวมยังเรียกว่า เทพแห่งโชคลาภทั้ง 7)

ตำนานเรื่องเล่าของญี่ปุ่น เป็นระบบของความเชื่อที่มีความซับซ้อนสูงมากระบบหนึ่ง เทพ(และวิญญาณ) ตามศาสนาชินโต  มีมากมายกว่า 8000 องค์(ตน)เลยทีเดียว ทั้งที่ได้รับอิทธิพลอารยธรรมของจีน แต่ตำนานความเชื่อและศาสนาของญี่ปุ่น  ส่วนมากมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ความเชื่อเหล่านี้เกิดจากการรวบรวมวัฒนธรรมของศาสนาชินโต ศาสนาพุทธ และความเชื่อพื้นบ้านทางการเกษตรไว้ด้วยกัน นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้ตำนานความเชื่อญี่ปุ่น  แตกต่างจากตำนานความเชื่อของกรีก อียิปต์ และนอร์ดิก(ไวกิ้งหรือสแกนดิเนเวีย) คือเมื่อเปรียบเทียบกับตำนานความเชื่อชาติอื่น มันมีความยากในการแยกแยะว่าสิ่งไหนคือตำนานของญี่ปุ่นที่แท้จริง

          ข้อมูลหลักของตำนานญี่ปุ่น   มีพื้นฐานจากตำรา โคจิกิ”(
古事記) (ซึ่งเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่เก่าแก่ที่สุด บันทึกโดยโอ โนะยาสึมาโระ
(O no Yasumaro)ในปีค.ศ. 712 มีพื้นฐานจากความทรงจำของฮิเอดะ โนะ อาเระ(Hiedano Are) ภายใต้คำสั่งของจักรพรรดิ ตำรานี้จะเริ่มต้นที่กำเนิดของโลกและจบลงที่จักรพรรดินีซุยโกะ  ตำรานิฮงโชคิ”(
日本書紀) (ซึ่งเขียนเป็นตำราเก่าแก่รองจากโคจิกิ มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่มีความแม่นยำทางประวัติศาสตร์มากกว่า) และเอกสารประกอบจำนวนหนึ่ง เช่น ตำราชินโตชู”(神道集) ซึ่งกล่าวเกี่ยวกับต้นกำเนิดเทพเจ้าญี่ปุ่น  ตามมุมมองของศาสนาพุทธ ตำร''โฮซึมะซึทาเอะ''(秀真伝) ซึ่งบันทึกตำนานญี่ปุ่นในลักษณะที่แตกต่างจากต้นฉบับ

        หนึ่งในอิทธิพลของตำนานญี่ปุ่นที่เห็นได้ชัด คือ เรื่องต้นกำเนิดของจักรพรรดิญี่ปุ่นและกำหนดหน้าที่ของพวกพระองค์เกี่ยวกับพระเจ้า คำว่าจักรพรรดิในภาษาญี่ปุ่นจึงเขียนว่าเทนโน” (
天皇
) หมายถึง จักรพรรดิแห่งสวรรค์




  กำเนิดญี่ปุ่น



          พระเจ้าองค์แรกๆ ได้สร้างเทพ 2 คน คนแรกเป็นชายชื่อ อิซานากิ (Izanagi)และอีกคนเป็นหญิงชื่อ อิซานามิ (Izanami) ให้มาสร้างแผ่นดินบนพื้นทะเล โดยให้หอกที่ประดับด้วยอัญมณีมากมายชื่ออาเมโนนุโฮโคะ”(Amenonuhoko) มาใช้สร้างแผ่นดิน ทั้ง 2 เดินไปยังสะพานเชื่อมระหว่างโลกกับสวรรค์ อาเมโนคิฮาชิ”(Amenoukihashi) จุ่มปลายหอกลงในน้ำทะเล แล้วหยดลงบนทะเล กลายเป็นเกาะ ๆ หนึ่งชื่อ โอโนะโกโระ

           จากนั้นทั้ง 2 ก็เดินทางข้ามสะพาน  แล้วไปสร้างบ้านบนเกาะนั้น ต่อมาทั้ง 2 ต้องการแต่งงานกัน จึงสร้างเสาต้นหนึ่งเรียกว่า อาเมโนะมิฮาชิระ และสร้างพระราชวังยาฮิโรโดโนะล้อมเสาต้นนี้ไว้ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินวนรอบเสาไปคนละทาง
           และเมื่อพวกเขาพบกันอีกฟากของเสา อิซานามิก็พูดทักทายเป็นครั้งแรก อิซานากิไม่ได้คิดว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง แต่พวกเขาก็แต่งงานกัน  และมีลูก 2 คนชื่อฮิรูโกะ(
蛭子) (ซึ่งเกิดมาไม่มีกระดูก(บางตำราบอกว่า ไม่มีแขนไม่มีขา) ก่อนจะได้รับการเลี้ยงดูจากชาวไอนุชื่อ เอบิสึ ซาบุโร จนเติบใหญ่บนเกาะเอโซะ(Ezo - 蝦夷) และเปลี่ยนชื่อเป็น เยบิสึ(Yebisu - 恵比須)) และอาวะชิมา (Awashima) แต่พวกเขาเป็นเทพที่ไม่มีลักษณะที่เทพควรเป็น

           ดังนั้นอิซานากิและอิซานามิ  จึงนำเอาลูกทั้ง 2 ลงเรือหญ้าอ้อ พายออกสู่ทะเลไปพบกับเทพเจ้าองค์อื่นๆ
เพื่ออ้อนวอนถามว่า ตนได้กระทำผิดอะไร เทพเจ้าทั้งหลายก็ตอบว่า ในพิธีกรรมเดินวนรอบเสาอะไรนั่น อิซานากิควรจะกล่าวทักทายก่อน เมื่อทั้งคู่รู้ จึงกลับไปทำพิธีกรรมแบบเดิม แต่ครั้งนี้เมื่อทั้งคู่มาพบกันอีกฟากของเสา อิซานากิเป็นคนกล่าวทักทายก่อน และการแต่งงานจึงสำเร็จ

           ความสำเร็จของการแต่งงานนี้เอง  ทำให้เกิดโอยาชิมะ หรือเกาะ 8 เกาะในหมู่เกาะญี่ปุ่น  คือ
-อาวาจิ(Awazi)
-อิโยะ(Iyo ต่อมาเป็นชิโคคุ)
-โอกิ(Ogi)
-ซึคุชิ(Tsukusiต่อมาเป็นคิวชู)
-ไอคิ(Iki)
-ซึชิมา(Tsusima)
-ซาโด(Sado)
-ยามาโตะ(Yamato ต่อมาเป็นฮอนชู)

          หมายเหตุ เกาะฮอคไคโด จิชิมา และโอกินาวา ไม่มีปรากฏในสมัยโบราณ


          พวกเขาให้กำเนิดเกาะอีก 6 เกาะ  และลูกอีกมากมาย อย่างไรก็ตาม อิซานามิก็เสียชีวิตขณะกำลังให้กำเนิดคากุซึจิ(Kagutsugi – ผู้จุติแห่งเพลิง) หรือโฮมาสึบิ (Ho-masubi) เธอถูกฝังที่ภูเขาฮิบะ ตรงเขตแดนจังหวัดอิสึโมะและโฮคิ ใกล้กับเมืองยาสึคิในจังหวัดชิมาเนะในปัจจุบัน ด้วยความโกรธ อิซานากิจึงฆ่าคากุซึจิ ซึ่งการตายของคากุซึจิได้สร้างเทพอีกมากมาย

            เทพที่เกิดจากอิซานากิและอิซานามิ เป็นสัญลักษณ์ของลักษณะธรรมชาติ  และวัฒนธรรมที่สำคัญ
แต่มันมีเยอะเกิดกว่าที่จะกล่าวได้ทั้งหมด  ตามความจริงแล้ว มันแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเทพชายอย่างอิซานากิในฐานะผู้นำ ขณะที่เทพธิดาอย่างอิซานามิเป็นผู้ตามที่หลงผิด ซึ่งสิ่งนี้เป็นการแสดงถึงความไม่เท่าเทียมกันของฝ่ายหญิง

           หลังจากการตายของอิซานามิ อิซานากิก็โศกเศร้าเสียใจ  และเดินทางไปยังโยมิ”(Yomi – ดินแดนแห่งความตายอันมืดมิด)  เขาตามหาอิซานามิ  และพบเธอโดยใช้เวลาไม่นานนัก ในตอนแรก อิซานากิมองไม่เห็นตัวเธอ เพราะกลุ่มเงาบดบังเธอไว้มิดชิด  แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ถามเธอให้เธอกลับไปยังโลกกับเขา เธอถ่มน้ำลายใส่เขา ซึ่งเป็นการแสดงว่าเขามาช้าเกินไป  เธอได้กินอาหารของนรก  และตอนนี้เธอเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนแห่งความตายไปแล้ว  ไม่สามารถกลับไปมีชีวิตได้อีกแล้ว

             อิซานากิรู้สึกตกใจกับข่าวที่ได้ยินนี้ แต่เขาไม่ยอมแพ้ต่อความต้องการ ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนแห่งความตายของอิซานามิ  ขณะที่เธอกำลังหลับ  เขาหยิบหวีที่ติดอยู่กับผมยาวๆของเธอ  และทำให้มันมีแสงสว่างขึ้นมา
ภายใต้แสงสว่างนั้น  อิซานากิได้เห็นรูปลักษณะน่าสยดสยองของอิซานามิที่ครั้งหนึ่งเคยสวยงาม  ร่างของเธอเป็นเนื้อที่กำลังเน่าเปื่อย ด้วยหนอนแมลงและสัตว์น่าขยะแขยงวิ่งไปมาตามร่างกายของเธอ


            อิซานากิไม่สามารถควบคุมความกลัวของเขาได้ เขาแผดเสียงร้องดังและเริ่มวิ่งหนี  เพื่อกลับไปยังโลกและทิ้งภรรยาที่ถูกความตายครอบงำ อิซานามิตื่นขึ้นร้องเสียงหลงอย่างไม่พอใจและไล่ตามอิซานากิ ชิโคเมะ(Shikome - ผู้หญิงที่น่าขยะแขยง)อันดุร้ายหลายตน ก็ไล่ล่าอิซานากิเช่นกัน  ภายใต้คำสั่งของอิซานามิ  ที่จะเอาตัวอิซานากิ
กลับมา

            อิซานากิระเบิดทางเข้า  และผลักก้อนหินก้อนใหญ่เข้าไปในปากทางเข้าโยมิ  อิซานามิกรีดร้องจากหลังก้อนหินนี้  และบอกอิซานากิว่า ถ้าเขาทิ้งเธอไป เธอจะฆ่าผู้คนบนโลก 1000 คนในแต่ละวัน  เขาตอบกลับไปด้วยความโกรธว่า เขาจะสร้างชีวิตใหม่ 1500 ชีวิตในแต่ละวันเช่นกัน


ดังนั้น เหตุการณ์นี้จึงถือเป็นการกำเนิดของความตายที่สร้างโดยอิซานามิ เทพแห่งการเกิดและความตาย

            หลังจากที่อิซานากิกลับมาจากโยมิ เขาก็ไปชำระร่างกายในแม่น้ำ ขณะที่เขาถอดเสื้อผ้าและเครื่องประดับทั้งหลาย แต่ละชิ้นที่ตกลงบนพื้นกลายเป็นเทพแต่ละองค์ เมื่อเขาลงไปในน้ำชำระล้างร่างกาย เทพเจ้า 3 องค์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น  จากการล้างหน้าของอิซานากิ   คือ
- อามาเทราสึ (Amaterasu - การจุติของดวงอาทิตย์) เกิดจากตาซ้าย
- สึคิโยมิ (Tsukiyomi - การจุติของดวงจันทร์) เกิดจากตาขวา
- สุซาโนโอะ (Susanoo – การจุติของลมหรือพายุ) เกิดจากจมูก

             จากนั้นอิซานากิก็ได้แบ่งโลกออกเป็น 3 ส่วนโดยให้เทพแต่ละองค์ดูแล อามาเทราสึดูแลสวรรค์ ซึคิโยมิควบคุมกลางคืนและดวงจันทร์ และสึซาโนโอะดูแลทะเล



              เทพอามาเทราสึ (Amaterasu-ō-mi-kami (
天照大神) - เทพธิดายิ่งใหญ่ผู้เปล่งแสงสว่างในสวรรค์))



เป็นเทพธิดาแห่งดวงอาทิตย์ตามศาสนาชินโต และเป็นบรรพบุรุษหญิงของราชวงศ์ในญี่ปุ่น  อามาเทราสึเกิดจากตาข้างซ้ายของอิซานากิ ขณะที่เขากำลังชำระล้างตนเองในแม่น้ำ  หลังจากการลงไปในโยมิ เธอเป็นผู้ปกครองทุ่งราบแห่งสวรรค์(Takamagahara)

               ตามตำราโคจิกิ  กล่าวถึงเรื่องเล่าโบราณเกี่ยวกับตัวอย่างเหตุการณ์ของเทพแห่งดวงอาทิตย์ไว้ชัดเจนคือ เมื่อเทพแห่งพายุ สึซาโนโอะ น้องชายที่ควบคุมไม่ได้ของเธอ  ทำลายโลกและนาข้าว สวน และวัดของเธอ รวมถึงมิโกะ  อามาเทราสึก็ละอายในการกระทำของเธอ  ที่ไปยั่วโมโหเขา  จึงเข้าไปหลบในถ้ำอามะ โนะอิวะโตะ (Ama no Iwato)ทำให้โลกตกอยู่ในความมืดมิด

               เทพองค์อื่นๆพยายามอ้อนวอนให้เธอออกมา แต่ไม่สำเร็จ จนเทพธิดาแห่งความรื่นเริงอามะ โนะอุซึเมะ (Ama-no-Uzume (
天宇受売命))เกิดความคิดหนึ่งขึ้น เธอเอากระจกแขวนไว้กับต้นไม้ใกล้ๆ ให้หันหน้าเข้าหาถ้ำ จัดงานฉลอง  ตอนแรกเธอเอาใบไม้กับดอกไม้เป็นเครื่องแต่งกาย  แล้วเต้นรำบนอ่างน้ำที่คว่ำบนพื้น  ก่อนจะแก้ผ้าเต้นรำ การกระทำนี้ทำให้เหล่าเทพองค์อื่นๆ หัวเราะเสียงดัง ซึ่งเทพอามาเทราสึเกิดอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  และแง้มหน้าออกมาดู เธอเห็นเงาสะท้อนของตนเองในกระจก ซึ่งทำให้เธอตกใจมาก  และเทพอาเมโนะ-ทาจิคาระโวะ  ก็สามารถดึงเธอออกมา มัดตัวเธอด้วยเชือกชิรุคุเมะ ภายใต้ความสนุกสนาน ความตึงเครียดของอามาเทราสึก็หายไป และตกลงที่จะกลับไปให้แสงสว่างแก่โลก เทพอุซึเมะจึงกลายเป็นเทพธิดาแห่งรุ่งอรุณไป


              ต่อมาเธอส่งหลานของเธอ มิโคโตะโนะ นินิกิ (瓊瓊杵尊) ไปสร้างความสงบสุขบนโลก ซึ่งต่อมาเป็นปู่ของจักรพรรดิจิมมุ (จักรพรรดิองค์แรกของญี่ปุ่น) เธอได้ให้อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ 3 ชิ้นคือ ดาบศักดิ์สิทธิ์คุซานางิ (Kusanagi(草薙剣) – ดาบตัดหญ้า ดาบแห่งอสรพิษ
ชื่อเป็นทางการจริง Ame no Murakumo no Tsurugi (
天叢雲劍) - ดาบของสวรรค์แห่งกลุ่มเมฆ ลักษณะของมันเป็นดาบ 2 คม ใบชี้ตรง และสั้น (คุ้น ๆ ไหม ก็กระบี่จีนนั่นแหละ)    สร้อยคอยาซะคานิ โนะ มากะทามะ (Yasakani no Magatama(八尺瓊曲玉) - สร้อยคอที่รูปร่างคล้ายๆ เครื่องหมายคอมมา  ทำจากมรกต ปัจจุบันอยู่ในพระราชวังโคเคียวในโตเกียว)   และกระจกยาตะ โนะ คางามิ (Yata no kagami (八咫鏡
)   ปัจจุบันอยู่ในศาลเจ้าอิเสะ  ในมิเอะ) สิ่งของเหล่านี้จึงกลายเป็นสมบัติของจักรพรรดิญี่ปุ่น

          อามาเทราสึรู้จักโดยทั่วไปว่าเป็นเทพธิดา แต่ในตำราโคจิกิ  มีการกล่าวถึงลักษณะเพศของเธอน้อยมาก
บางตำราโดยเฉพาะตำราโฮซึมะซึทาเอะ  บรรยายลักษณะของเธอเป็นชาย

          อามาเทราสึยังได้ขึ้นชื่อว่า เป็นผู้คิดค้นการเพาะปลูกข้าวเจ้าและข้าวสาลี การเลี้ยงหนอนไหม และการทอผ้าด้วยกี่ ศาลเจ้าที่สำคัญที่สุดของเธอคือศาลเจ้าอิเสะ ซึ่งจะทำลายทิ้งและสร้างใหม่ทุกๆ 20 ปี

           วันฉลองเทพธิดาอามาเทราสึ  คือวันที่ 17 กรกฎาคม ซึ่งจะมีขบวนแห่ตามถนนทั่วประเทศ และจะมีงานเทศกาลในวันที่ 21 ธันวาคม  เฉลิมฉลองในเรื่องที่เธอออกจากถ้ำ




           สึซาโนโอะ(須佐之男命 - Susanoo-no-mikoto)




           เป็นเทพแห่งทะเลและพายุตามศาสนาชินโต เกิดจากจมูกของอิซานากิ  เมื่อเขาไปชำระล้างร่างกาย  หลังจากกลับมาจากโยมิ  สึซาโนโอะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าใดนัก และมีปรากฏในเรื่องเล่าไม่กี่เรื่องเท่านั้น ที่พอรู้จักก็จะเป็นเรื่องของยามาโตะโนะ โอโรจิ โดยกล่าวว่า...

           สึซาโนโอะเป็นผู้สังหารโอโรจิ โดยให้โอโรจิดื่มเหล้าสาเก 8 ชาม (1 ชามต่อ 1 หัว) จากนั้นก็ดึงดาบคุซานางิจากหางของโอโรจิหางหนึ่ง แล้วเอามาตัดหัวโอโรจิทั้งหมด เพื่อช่วยลูกสาวของสามีภรรยาคู่หนึ่งชื่อคุชินาดะ ซึ่งสึซาโนโอะได้ตกหลุมรัก หลังจากที่นำดาบไปให้พี่สาว
อามาเทราสึเพื่อขอคืนดีด้วย เขาก็แต่งงานกับคุชินาดะ

           เรื่องระหว่างอามาเทราสึกับสึซาโนโอะ

           ตามตำนานกล่าวว่า อามาเทราสึซึคิโยมิ และสึซาโนโอะไม่ค่อยจะกินเส้นกันเท่าไรนัก (คือมีเรื่องมีราวให้ต้องทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่อยๆ)   มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งกล่าวถึงพฤติกรรมที่ไม่น่าเชื่อของสึซาโนโอะ (แปลออกมาแล้วไม่ค่อยเข้าใจ เป็นไปได้ว่าอาจจะไม่ธรรมดา  และไม่เหมาะสมสำหรับเทพ)ต่อหน้าอิซานากิ  ทำให้อิซานากิต้องตำหนิติเตียนเสมอ
           เมื่ออิซานากิเบื่อหน่ายกับการตำหนิสึซาโนโอะ จึงเนรเทศสึซาโนโอะไปโยมิ สึซาโนโอะก็ยินยอมอย่างไม่เต็มใจนัก  แต่ก่อนไปต้องคิดบัญชีเก่าๆให้เสร็จสิ้นก่อน เขาเดินทางไปสวรรค์  เพื่อกล่าวคำอำลาพี่สาวของเขา อามาเทราสึ
            แต่เธอไม่เชื่อคำพูดของสึซาโนโอะ  และขอให้จัดการแข่งขันพิสูจน์ความสัตย์ของเขา โดยให้แต่ละคนดึงเด็กเทพออกมาจากสิ่งของให้ได้มากกว่าอีกฝ่าย (ฟังแล้วก็เข้าใจนะ)

             อามาเทราสึดึงผู้หญิงออกมาจากดาบของสึซาโนโอะได้ 3 คน ขณะที่สึซาโนโอะดึงผู้ชายออกจากโซ่ประดับของอามาเทราสึได้ 5 คน  ฟังดูเหมือนเรื่องจะจบลงด้วยสึซาโนโอะเป็นฝ่ายชนะนะ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น อามาเทราสึกล่าวอ้างว่าผู้ชาย 5 คนออกมาจากสิ่งของของเธอ
ในลักษณะเดียวกัน  เธอดึงผู้หญิง 3 คนออกจากดาบของสึซาโนโอะ ก็แสดงว่าเธอสามารถดึงคนออกมาได้มากกว่าสึซาโนโอะ (งงไหม ง่ายๆสั้นๆ  ได้ใจความคือ อามาเทราสึ


กล่าวว่า ผู้ชาย 5 คนออกมาจากโซ่ประดับของเธอ ดังนั้นผู้ชาย 5 คนต้องเป็นของเธอ เพราะมันออกมาจากโซ่ของเธอ  เช่นเดียวกับผู้หญิง 3 คนจากดาบของสึซาโนโอะก็เป็นของสึซาโนโอะ (เล่นแบบนี้ก็ได้มีมวยกันล่ะสิ))

           ต่างฝ่ายต่างก็อ้างว่าตนชนะการแข่งขัน ต่างฝ่ายอาจจะพูดกันว่า...

อามะเทราสึพี่ชนะเธอ เพราะผู้ชาย 5 คนออกมาจากโซ่ของพี่ ส่วนเธอ มีแค่ผู้หญิง 3 คนออกมาออกมาจากดาบของเธอเอง
สึซาโนโอะผมชนะพี่ต่างหาก ผมเป็นคนดึงผู้ชายออกมาได้ 5 คน ส่วนพี่ดึงออกมาได้แค่ 3 คนเอง


          การยืนยันชัยชนะของอามาเทราสึ ทำให้สึซาโนโอะโกรธและขว้างม้าที่ถูกถลกหนังครึ่งตัว  (เขาว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ผมนึกไม่ออกว่าศักดิ์สิทธิ์ยังไง)  เข้าไปในห้องโถงทอผ้าของอามาเทราสึ ทำให้สาวกของเธอตายไป 1 คน เธอจึงหนีเข้าไปหลบในถ้ำ ก่อนจะถูกดึงออกมาตามประวัติของอามาเทราสึข้างต้น



เทพซึคุโยมิ (月読の命หรือ 月夜見の尊Tsukuyomi no Mikoto)



         เป็นเทพแห่งดวงจันทร์ตามศาสนาชินโต เกิดจากตาขวาของอิซานากิเทพบิดาที่ไปล้างตัวที่แม่น้ำหลังกลับจากโยมิ เช่นเดียวกับอามาเทราสึและสึซาโนโอะ  ซึคุโยมิแต่เดิมอาศัยอยู่บนสวรรค์กับอามาเทราสึ  ก่อนเกิดเรื่องหมางใจกัน คือ

         ครั้งหนึ่งอามาเทราสึส่งซึคุโยมิ  ไปเป็นตัวแทนในงานรื่นเริงที่จัดโดยเทพธิดาแห่งอาหาร อุเคะ โมจิ (UkeMochi) อุเคะ โมจิสร้างอาหาร  โดยหันหน้าไปยังมหาสมุทรและถุยปลาออกมา  จากนั้นหันหน้าไปยังป่าแล้วคายสัตว์ต่างๆออกมา (หมายถึงสัตว์ที่ล่าแล้ว ไม่ใช่เป็นๆ ตำนานเก่ากล่าวว่า ออกมาจากก้น) และท้ายสุด หันหน้าไปยังทุ่งนาข้าว  แล้วไอข้าวออกมาใส่ชาม เขารู้สึกสะอิดสะเอียน (ก็สมควรอยู่หรอก โดยเฉพาะถ้าเอาตามตำราเก่าที่สัตว์ออกมาก้นนี่สิ) และฆ่าเธอ ร่างกายของอุเคะ โมจิกลายเป็นอาหารคือลูกเดือย ข้าวเจ้า และถั่วกระจายไปทั่ว ขนตาของเธอก็กลายเป็นหนอนไหม

            เมื่ออามาเทราสึรู้เรื่องเข้า  ก็โกรธเคืองซึคุโยมิและปฏิเสธที่จะพบหน้ากันตลอดไป โดยย้ายไปอีกฟากของท้องฟ้า กลายเป็นตำนานเรื่องการกำเนิดกลางวัน-กลางคืน




เทพฟูจิน (Fujin)



เป็นเทพเจ้าแห่งลมและเป็นหนึ่งในเทพเจ้าเก่าแก่ของชินโต ท่านมีส่วนในการสร้างโลก  โดยปล่อยลมออกจากถุง พัดหมอกยามเช้าและเติมช่องว่างระหว่างสวรรค์กับโลก

ฟูจินมีลักษณะเป็นปีศาจสีดำมืดน่ากลัว สวมชุดหนังเสือดาว  แบกถุงใส่ลมใบใหญ่ไว้ที่ไหล่


ตามตำนานของศาสนาพุทธในจีนกล่าวว่า ฟูจินกับไรจิน (Raijin – เทพแห่งสายฟ้า) เป็นมารร้ายที่ต่อต้านศาสนาพุทธ
พวกมันถูกจับได้ในการรบโดยกองทัพสวรรค์ของพุทธศาสนา (ซึ่งผมก็เดาๆได้ว่า น่าจะเป็นกองทัพของเง๊กเซียนฮ่องเต้  ไม่ก็กองทัพธรรมของพระโพธิสัตว์ แหงๆ เพราะประเทศจีนนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน(มหายาน เขาแปลว่า ยานใหญ่ ถือคำพูดสุดท้ายของพระพุทธเจ้าว่า
ดูกรอานนท์ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ถ้าสงฆ์ต้องการ ก็ จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างก็ได้”) และได้ทำงานเป็นเทพเจ้าในเวลาต่อมา




เทพอินาริ (Inari (稲荷))



เป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ ข้าว และสุนัขจิ้งจอก สุนัขจิ้งจอกของเทพอินาริจะมีสีขาวล้วน  และทำหน้าที่เป็นผู้ส่งข่าว

ทางเข้าไปยังศาลเจ้าอินาริจะมีประตูโทริอิ(Torii)สีแดง (ประตูศาลเจ้าที่คล้ายๆเสาชิงช้าของไทย แต่เตี้ยกว่า)
อย่างน้อย 1 บาน และมีรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกอยู่จำนวนหนึ่ง

เทพอินาริเป็นที่นิยมในญี่ปุ่นตนหนึ่ง เพราะมีศาลเจ้าเกี่ยวกับเทพตนนี้ตั้งอยู่หลายแห่ง ศาลเจ้าหลักของเทพอินาริคือ ศาลเจ้าฟุชิมิ อินาริ (Fushimi Inari) ในตำบลฟุชิมิ จังหวัดเกียวโต ซึ่งตามเส้นทางที่ไปยังศาลเจ้า จะมีประตูโทริอิสีแดงส้ม  และรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกติดผ้าคลุมแผงคอสีแดงเรียงรายไปตามทาง รูปปั้นเหล่านี้ถือว่าเป็นร่างหนึ่งของเทพอินาริ
ผู้คนมักถวายข้าวเจ้า เหล้าสาเกและอาหารอื่นๆ (คงจะเป็นกับข้าว) เพื่อสร้างความพึงพอใจและความกรุณาต่อเหล่าสุนัขจิ้งจอกทั้งหลาย

เทพอินาริไม่มีเพศที่แน่นอน บ้างก็เป็นชาย บ้างก็เป็นหญิง มักปรากฏกายในลักษณะชายแก่แบกกระสอบข้าวสาร  และมีสุนัขจิ้งจอกสีขาวเดินตาม 2 ตัว  แต่ก็มีหลายครั้งที่ปรากฏกายเป็นหญิงแก่ จากตรงนี้นี่เอง ทำให้นิยามของเทพอินาริแบ่งหลายอย่างคือ เป็นชายบ้าง หญิงบ้าง เป็นเทพแห่งข้าวบ้าง เป็นเทพแห่งอาหารและความอุดมสมบูรณ์บ้าง ซึ่งจะแตกต่างไปตามภูมิภาคและความเชื่อส่วนบุคคล เนื่องจากเทพอินาริเกี่ยวพันกับสุนัขจิ้งจอก
บางครั้งจะมีการพรรณนาเทพอินาริเป็นสุนัขจิ้งจอก เรื่องเล่าพื้นบ้านยังเป็นหลักฐานของความสามารถของท่านในการแปลงกาย คือ มีอยู่ครั้งหนึ่ง เทพอินาริปรากฏกายต่อหน้าชายดุร้ายคนหนึ่ง ในร่างของสุนัขจิ้งจอกเพื่อสั่งสอนเขา

ในบางส่วนของคิวชู งานเทศกาล หรือช่วงเวลาการสวดอ้อนวอนเทพอินาริจะเริ่มต้นก่อนวันพระจันทร์เต็มดวง 5 วันในเดือนพฤษจิกายน
บางครั้งก็สัปดาห์หนึ่ง โดยจะเอาผลผลิตที่เกี่ยวกับข้าวเจ้า ถวายที่ศาลเจ้าในแต่ละวันและรับเครื่องรางโอ มาโมริ
(ที่คล้าย ๆ ซองกระดาษนั่นแหละ) เทศกาลนี้จะเป็นที่นิยมในแถบชนบทของนากาซากิ




เทพไรจิน (
雷神 – Raijin)



เป็นเทพแห่งฟ้าร้องและสายฟ้า ชื่อเรียกอีกชื่อคือ ไรเดน (
雷電) ท่านมีลักษณะเป็นปีศาจที่ตีกลองเพื่อสร้างฟ้าร้อง ท่านได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้ที่ทำลายกองทัพมองโกลที่พยายามบุกญี่ปุ่นในปีค.ศ. 1274 โดยสร้างพายุขัดขวาง (พายุที่ว่าก็คือ คามิคาเซะ ที่ท่านรู้จักนั่นแหละ)

สหายของท่านคือ ปีศาจไรจู (แปลว่า สัตว์สายฟ้า ซึ่งมีร่างกายห่อหุ้มด้วยสายฟ้าไม่ก็ไฟและ อาจจะมีรูปร่างเป็นสัตว์ดังนี้ แมว แรคคูน ลิง หรือตัววีเซิล - เวลาบินจะคล้าย ๆ ลูกบอลสายฟ้าและมีเสียงร้องเหมือนฟ้าร้อง โดยทั่วไป ปีศาจพวกนี้จะรักสงบและไม่เป็นอันตราย แต่เมื่อเกิดฝนฟ้าคะนอง จะเกิดอาการคุ้มคลั่งและกระโจนเข้าใส่ต้นไม้ ทุ่งนา และตึก (ต้นไม้ที่ถูกฟ้าผ่า อาจจะเรียกได้ว่า ถูกไรจูข่วน) พฤติกรรมที่น่าประหลาดอีกอย่างคือ ชอบนอนอยู่ในสะดือคน เมื่อเทพไรจินต้องการปลุกไรจูให้ตื่นจะยิงธนูใส่ ทำให้คนนั้นถูกฟ้าผ่า (ก็ซวยไป) คนที่เชื่อเรื่องเหล่านี้ก็จะนอนทับท้องของตนเองในวันที่อากาศไม่ดี บางตำนานกล่าวว่า ไรจูจะซ่อนอยู่ในสะดือของคนที่นอนหลับนอกบ้านเท่านั้น)


เทพไรจินยังขึ้นชื่อว่า ชอบกินสะดือของเด็ก ๆ อีกด้วย



เทพมังกรริวจิน(龍神)



เป็นเทพแห่งทะเล รูปร่างของท่านเป็นมังกรที่มีปากใหญ่ (เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจแห่งมหาสมุทร) และสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ เทพริวจินจะอาศัยอยู่ในพระราชวังใต้น้ำริวกุโจ ที่สร้างจากสีแดงและขาว ซึ่งพระราชวังแห่งนี้เป็นที่ที่เทพริวจินใช้ควบคุมคลื่นทะเล โดยใช้อัญมณีแห่งคลื่น มีผู้รับใช้เป็นเต่าทะเล ปลา และแมงกะพรุน

เทพริวจินเป็นพ่อของเจ้าหญิงโอโตะ (ซึ่งจะกล่าวถึงเรื่องเธอไว้ทีหลัง พวกท่านคงรู้จักเธอคร่าวๆแล้วทุกคนนะ ไม่รู้เรอะ แหม ก็เจ้าหญิงโอโตะ คนที่อุราชิมะทาโร่ไปพบ  หลังจากช่วยเต่าทะเลตัวหนึ่งไว้ไง) ซึ่งเธอกับเทพริวจินมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำเนิดราชวงศ์ญี่ปุ่น

มีตำนานเกี่ยวกับเทพริวจินอันหนึ่งกล่าวว่า จักรพรรดินีจินกู (
神功皇后JingūKōgō –จักรพรรดินีผู้สำเร็จราชการแทนจักรพรรดิจูไอ(仲哀天皇ChūaiTennō) (ซึ่งสิ้นพระชนม์ลงในค.ศ.209) สามารถยกกองทัพบุกเกาหลีได้เพราะได้ความช่วยเหลือจากอัญมณีแห่งคลื่นของเทพริวจิน เมื่อเข้าเผชิญหน้ากับกองเรือของญี่ปุ่น จักรพรรดินีก็โยนอัญมณีแห่งคลื่นที่ทำให้เกิดคลื่นระดับต่ำลงทะเล คลื่นก็ค่อยๆลดน้อยลง ทำให้เรือรบเกาหลีเกยฝั่ง  และลูกเรือลงจากเรือ จากนั้นจักรพรรดินีก็โยนอัญมณีแห่งคลื่น  ที่ทำให้เกิดคลื่นสูงลงในทะเล คลื่นในทะเลจึงสูงขึ้น  และทำให้ทหารเกาหลีน้ำตาย เทศกาลประจำปีชื่อกิอง มะซึริ(祇園祭) ที่จัดที่ศาลเจ้ายาซาคะ(Yasaka) ในเกียวโตทุกๆวันที่ 17 กรกฎาคม ก็เพื่อเฉลิมฉลองเหตุการณ์นี้  และชำระล้างสิ่งไม่ดีต่างๆ โดยจะแห่ศาลเจ้าเคลื่อนที่(โอมิโคชิ – Omikoshi)ของศาลเจ้ายาซากะ  ไปตามถนนของเมือง

ตำนานอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเหตุผลที่แมงกะพรุนไม่มีกระดูก กล่าวไว้ว่า ครั้งหนึ่งเทพริวจินอยากกินตับลิง (ในบางเรื่องกล่าวว่า เพื่อรักษาอาการผื่นคัน (ไม่ยอมใช้โทนาฟ)) และส่งแมงกะพรุนไปจับลิง (จินตนาการไม่ค่อยออกแฮะว่า แมงกะพรุนจะขึ้นฝั่งไปจับลิงยังไง) ลิงก็พยายามจะหลบหนี โดยบอกกับแมงกะพรุนว่า มันใส่ตับของมันไว้ในไหกลางป่าและเสนอตัวเองให้เดินเข้าไปเอามาให้ จากนั้นเหตุการณ์จะเป็นยังไงคงไม่ต้องบอกมาก แมงกะพรุนก็เชื่อ ส่วนลิงก็หนี เมื่อเทพริวจินรู้เรื่องนี้เข้า ก็โกรธและตีแมงกะพรุนจนกระดูกหักหมด (สงสัยคันผื่นมานาน ไม่ได้ยาขึ้นมาเลยโกรธ) เป็นที่มาว่า ทำไมแมงกะพรุนไม่มีกระดูก



เจ้าชายโอนามุจิ(Ōnamuji)

เจ้าชายโอนามุจิ หรือที่รู้จักกันว่า โอคุนินุชิ (Ōkuninushi) เป็นลูกหลานของเทพสึซาโนโอะ เขาต้องแข่งขันกับพี่น้องมากมายของเขา  ในการแต่งงานกับเจ้าหญิงยาคามิแห่งอินาบะ(Yakami of Inaba) ขณะที่กำลังเดินทางจากอิสึโมะไปอินาบะเพื่อสู่ขอเธอ พี่น้องของเขาพบกับกระต่ายตัวหนึ่งที่มีแผลถลอกนอนอยู่บนชายหาด พวกเขาบอกให้กระต่ายลงไปอาบน้ำทะเล  และไปตาก-ลม (เดี๋ยวจะอ่านเป็นตา-กลม)จะให้แผลแห้งบนภูเขา (แค่แผลโดนแอลกอฮอล์ ก็แสบสุดๆแล้ว นี่น้ำทะเล) กระต่ายก็เชื่อและทำตามนั้น ก็ทำให้มันเจ็บปวดทรมานมาก โอมามุจิซึ่งเดินล้าหลัง  ทิ้งห่างจากพวกพี่น้องของเขามาก ก็มาเห็นกระต่ายตัวนี้  และแนะนำให้กระต่ายอาบน้ำสะอาด  และโรยบาดแผลด้วยผงแป้งดอกกามะ(ดอกหางแมว ผมก็ไม่รู้จักว่า มันเป็นต้นไม้ยังไง) กระต่ายที่ได้รับการรักษาแล้ว ซึ่งก็คือเทพตนหนึ่ง ก็บอกว่า ตนเองเป็นเทพ  และเห็นว่า โอนามุจิคู่ควรแต่งงานกับเจ้าหญิงยาคามิ

การทดสอบโอนามุจิมีมากมาย  และเขาเกือบตายด้วยฝีมือของพี่น้องของเขา ซึ่งทั้ง 2 ครั้งแม่ของเขา เจ้าหญิงคุซานาดะได้ช่วยเหลือเขา เมื่อถูกศัตรูไล่ล่า เขาก็กล้าเสี่ยงเข้าไปในที่อยู่ของเทพสึซาโนโอะ ซึ่งเขาก็ได้พบกับเจ้าหญิงสึเซริ ลูกสาวของเทพสึซาโนโอะเทพสึซาโนโอะได้ทดสอบโอนามุจิหลายครั้ง แต่ท้ายสุดเทพสึซาโนโอะก็ยอมรับโอนามุจิ  และทำนายว่าเขาจะมีชัยชนะเหนือพี่น้องของเขาทั้งหมด

แม้ว่า ประเพณีของยามาโตะจะมุ่งไปยังการสร้างญี่ปุ่น  ระหว่างเทพอินาซากิกับเทพอิซานามิ แต่ประเพณีของอิสึโมะจะมุ่งไปยังโอนามุจิ  ควบคู่ไปกับเทพแคระ สึคุนะบิโคะ (Sukunabiko)ซึ่งสนับสนุนหรืออย่างน้อยที่สุดก็มีส่วนในการสร้างเกาะญี่ปุ่น




ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : google


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น