วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เทพเจ้าพราหมณ์ ฮินดู

เทพเจ้าพราหมณ์ ฮินดู


พระธรณี เทพีแห่งการให้กำเนิดและค้ำชูมนุษย์


พระธรณี  หรือ แม่พระธรณี หรือ พระศรีวสุนธรา เป็นเทพีแห่งพื้นแผ่นดิน ปรากฏในตำนานทั้งศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และพุทธศาสนา
ในคติของศาสนาฮินดูให้ความเคารพนับถือว่าแผ่นดินเป็นสิ่งค้ำจุนสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกเปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดหล่อเลี้ยงโลกและแผ่นดิน จึงได้รับยกย่องว่าเป็นเทพจากธรรมชาติองค์หนึ่งเป็นเพศหญิง เรียกนามว่า ธรณิธริตริแปลว่า ผู้ค้ำจุนพระธรณีแม้จะมิค่อยมีรูปเคารพอย่างแพร่หลายเช่นเทพองค์อื่นแต่ก็มีผู้ให้ความเคารพนับถือเป็นจำนวนมิใช่น้อย เพราะถือกันว่าพระธรณีสถิตย์อยู่ตามที่ต่าง ๆ ทุกหนทุกแห่ง จะทำการบูชาด้วย ข้าว ผลไม้ และนมด้วยการวางไว้บนก้อนหิน หรือประพรมลงบนพื้นดิน บางแห่งใช้เหล้าเป็นการสังเวยก็มี นอกจากนี้ชาวฮินดูยังมีการขอขมาลาโทษเมื่อจะวางเท้าลงบนพื้นดินก่อนจะลุกขึ้นในตอนเช้า วัวหรือควายที่มีลูกก่อนที่จะให้ลูกกินนมครั้งแรก เจ้าของจะปล่อยน้ำนมของแม่วัวลงบนพื้นดินเสียก่อนทุกครั้งไป ถ้าเป็นพวกชาวนาก็จะขอให้พระธรณีช่วยคุ้มครองผืนนาและวัวควาย แม้ในพระเวทก็มีการขอร้องต่อพระธรณีให้ช่วยพิทักษ์คุ้มครองวิญญาณของคนตาย และต่อมาได้นับถือว่าเป็นเทพแห่งไร่นาด้วย ในแคว้นปัญจาบเชื่อกันว่าพระธรณีจะนอนหลับเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ของทุก ๆ เดือนชาวไร่ชาวนาจะหยุดไม่ทำงานในระยะนี้
เทพแห่งแผ่นดินหรือพระธรณี ไม่ค่อยมีเรื่องราวประวัติความเป็นมาปรากฏมากมายดังเช่นเทพองค์อื่น หรือมีก็สับสน เช่น บางแห่งว่าพระธรณีมีโอรสกับพระนารายณ์องค์หนึ่งคือพระอังคาร บางแห่งว่าพระอังคารเป็นโอรสของพระศิวะกับพระธรณี หรือในคติพราหมณ์พบเพียงว่าเป็นชายาของพระธุรวะหรือดาวเหนือ
ในพุทธศาสนา พระแม่ธรณีปรากฏกายเพื่อบีบน้ำจากมวยผมให้ท่วมพญามารที่รังควาญสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนวันตรัสรู้ ดั่งรายละเอียดตามพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสว่า
แต่ในชาติอาตมะเป็นพระยาเวสสันดรชาติเดียวนั้น ก็ได้บำเพ็ญทานบารมีถึงบริจาคนางมัทรีเป็นอวสาน พื้นพสุธาก็กัมปนาการถึง 7 ครั้ง แลกาลบัดนี้ อาตมะนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์อาสน์ หมู่มารอริราชมาแวดล้อมยุทธการเป็นไฉนแผ่นพสุธาธารจึงดุษณีภาพอยู่ฉะนี้ แลพระยามารอ้างบริษัทแห่งตนให้เป็นกฏสักขีขานคำมุสา แลพื้นปฐพีอันปราศจากเจตนาได้สดับคำอาตมะในครั้งนี้จงรับเป็นสักขีพยานแห่งข้า แล้วเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาอันประดับด้วยจักรลักษณะอันงามดุจงวงไอยรารุ่งเรืองด้วยพระนขามีพรรณอันแดงดุจแก้วประพาฬออกจากห้องแห่งจีวร ครุวนาดุจวิชุลดาในอัมพรอันออกจากระหว่างห้องแห่งรัตวลาหก ยกพระดัชนีชี้เฉพาะพื้นมหินทรา จึงออกพระวาจาประกาศแก่นางพระธรณีว่า ดูก่อนวนิดาดลนารี ตั้งแต่อาตมะบำเพ็ญพระสมภารบารมีมาตราบเท่าถึงอัตภาพเป็นพระเวสสันดรราช ได้เสียสละบุตรทานบริจาคแลสัตตสดกมหาทานสมณะพราหมณาจารย์ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งจะกระทำเป็นสักขีพยานในที่นี้ก็มิได้ มีแต่พสุนธารนารีนี้แลรู้เห็นเป็นพยานอันใหญ่ยิ่ง เป็นไฉนท่านจึงนิ่งมิได้เป็นพยานอาตมาในกาลบัดนี้ ในขณะนั้น นางพสุนธรีวนิดาก็มิอาจดำรงกายาอยู่ได้ ด้วยโพธิสมภารานุภาพยิ่งใหญ่แห่งพระมหาสัตว์ ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพียืนประดิษฐานเฉพาะพระพุทธังกุรราช เหมือนดุจร้องประกาศกราบทูลพระกรุณาว่าข้าแต่พระมหาบุรุษราช ข้าพระบาททราบซึ่งสมภารบารมีที่พระองค์สั่งสมอบรมบำเพ็ญมา
แต่น้ำทักษิโณทกตกลงชุ่มอยู่ในเกศาข้าพระพุทธเจ้านี้ ก็มากกว่ามากประมาณมิได้ ข้าพระองค์จะบิดกระแสใสสินโธทกให้ตกไหลหลั่งลง จงเห็นประจักษ์แก่นัยนาในครานี้ แลนางพระธรณีก็บิดน้ำในโมลีแห่งตน อันว่ากระแสชลก็หลั่งไหลออกจากเกศโมลีแห่งนางพสุนธรีเป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศที่ทั้งปวงประดุจห้องมหาสาครสมุทร พระผู้เป็นเจ้ารักขิตาจารย์จึงกล่าวสารพระคาถาอรรถาธิบายความก็เหมือนนัยกล่าวแล้วแต่หลัง
ครั้งนั้น หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำปลาตนาการไปสิ้น ส่วนคิรีเมขลคชินทรที่นั่งทรงองค์พระยาวัสวดีก็มีบาทาอันพลาดมิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร อันว่าระเบียบแห่งฉัตรธวัชจามรทั้งหลาย ก็ทักทบท่าวทำลายล้มลงเกลื่อนกลาดและพระยามาราธิราชได้ทัศนาการเห็นมหัศจรรย์ ดังนั้น ก็บันดาลจิตพิศวงครั่นคร้ามขามพระเดชพระคุณเป็นอันมาก พระคันถรจนาจารย์จึงกล่าวพระคาถาสรรเสริญคุณานุภาพโพธิสัตว์อรรถาธิบายความก็ซ้ำหนหลัง
ครั้งนั้นมหาปฐพีก็ป่วนปั่นปานประหนึ่งว่าจักรแห่งนายช่างหม้อบันลือศัพท์นฤนาทหวาดไหวสะเทือนสะท้าน เบื้องบนอากาศก็นฤโฆษนาการ เสียงมหาเมฆครืนครั่นปิ่มปานจะทำลายภูผาทั้งหลาย มีสัตตภัณฑ์บรรพต เป็นต้น ก็วิจลจลาการขานทรัพย์สำเนียงกึกก้องทั่วทั้งท้องจักรวาล ก็บันดาลโกลาหลทั่วสกลดังสะท้าน ปานดุจเสียงป่าไผ่อันไหม้ด้วยเปลวอัคคี ทั้งเทวทุนทุภีกลองสวรรค์ก็บันลือลั่นไปเอง เสียงครืนเครงดุจวีหิลาชอันสาดทิ้ง ถูกกระเบื้องอันเรืองโรจน์ร้อนในกองอัคนี การอัสนีบาตก็ประหารลงเปรี้ยง ๆ เพียงพื้นแผ่นปฐพีจะพังภาคดังห่าฝน ถ่านเพลิงตกต้องพสุธาดลดำเกิงแสงสว่างหมู่มารทั้งหลายต่าง ๆ ตระหนกตกประหม่า กลัวพระเดชานุภาพแพ้พ่าย แตกขจัดขจายหนีไปในทิศานุทิศทั้งปวงมิได้เศษ แลพระยามาราธิราชก็กลัวพระเดชบารมี ปราศจากที่พึ่งที่พำนักซ่อนเร้นให้พ้นภัยหฤทัย ท้อระทดสลดสังเวชจึงออกพระโอษฐ์สรรเสริญพระเดชพระคุณพระมหาบุรุษราชว่า ดังอาตมาจินตนาการอันว่าผลทานศีลสรรพบารมีแห่งพระสิทธัตถกุมารนี้ ปรากฏอาจให้บังเกิดมหิทธฤทธิ์สำเร็จกิจมโนรถปรารถนาทุกประการ มีพระกมลเบิกบานแผ่ไปด้วยประสาทโสมนัส จึงทิ้งเสียซึ่งสรรพาวุธประนมหัตถ์ทั้ง 2,000 อัญชลีกรนมัสการ ก็กล่าวสารพระคาถาว่า นโม เต ปุริสาชญญ เป็นอาทิ อรรถาธิบายความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ปุริสาชาไนยชาติเป็นอุดมบุรุษราชในโลกนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายวันทนาการชุลีพร้อมด้วยทวารทั้ง 3 คือกายวจีมโนประณามประณตในบทบงกชยุคลบาท บุคคลผู้ใดในมนุษย์โลกธาตุกับทั้งเทวโลก ที่จะปูนเปรียบประเสริฐเสมอพระองค์คงเทียมเทียบนั้นมิได้มี พระองค์ได้ตรัสเป็นพระศรีสรรเพชญ์เสร็จแจ้งจตุราริยสัจจ์ศาสดาจารย์มีพระเดชครอบงำชำนะหมู่มาร เป็นปิ่นปราชญ์ฉลาดในอนุสัยแห่งสรรพสัตวโลกจะข้ามขนนิกรเวไนย์ให้พ้นจตุรโอฆกันดารบรรลุฝั่งฟากอมฤตมหานฤพานอันเกษมสุขปราศจากสังสารทุกข์ในครั้งนี้ แลพระยาวัสวดีมารโถมนาการพระคุณพระมหาบุรุษราชด้วยจิตประสาทเลื่อมใส ผลกุศลนั้นจะตกแต่งให้ได้ตรัสแก่พระปัจเจกโพธิญาณในอนาคตกาลภายหน้า เมื่อพระยามารกล่าวสัมภาวนากถาสรรเสริญคุณพระโพธิสัตว์ แล้วก็นิวัตตนาการสู่สกลฐานเทวพิภพ






พระแม่คงคา เทพผู้รักษาสายน้ำ


พระแม่คงคา 
เทวะลักษณะของพระแม่นั้น โดยทั่วไปจะวาดมีสี่กร และทรงจระเข้เป็นพาหนะ มีตรีศูลย์เป็นอาวุธ มีหม้อกลาฮัม และหม้อน้ำ บางครั้งก็จะวาดมีสองกร และทรงอาวุธตรีศูลย์ แต่ส่วนมากที่จะได้เห็นกันก็คือ จะแสดงองค์เป็นสตรีที่ยื่นหน้าออกมาจากมวยพระเกศของพระศิวะเจ้า และมีสายน้ำพ่นออกมาจากปาก 
เป็นราชธิดาของพระหิมวัตและนางเมนกา ซึ่งพระนางก็คือพี่สาวของพระแม่อุมาเทวีนั้นเอง พระนางเป็นผู้ดูแลรักษาสายน้ำคงคา ซึ่งถือเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลมาจากสวรรค์ ซึ่งในอินเดียนั้นมีแม่น้ำหลายสายเช่น
แม่น้ำสรัสวตี (เชื่อว่าไหลมาจากพรหมโลก)
แม่น้ำซันโตชี(พระแม่ซันโตชีธิดาของพระพิฆเนศเป็นผู้ดูแล)
แม่น้ำคงคา(พระแม่คงคาเป็นผู้ดูแล)
แม่น้ำยมุนาหรือยมนา(เชื่อว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของพระวิษณุเทพ)
น้ำจากคงคานั้นถือว่าเป็นน้ำที่สามารถชำระบาปของมนุษย์ทั้งหลายได้ ซึ่งแม่น้ำที่ใช้ชำระบาปของมนุษย์ได้จะมีอยู่สองสายคือ
แม่น้ำคงคาตลอดสาย
แม่น้ำยมนา

บริเวณต้นน้ำที่เขายาดาคีรีของ ท่านฤาษียาดาชี ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์ลักษมีนาราซิมฮา แม่น้ำคงคานี้เมื่อจะประกอบพิธีต่างๆ จะต้องนำน้ำจากพระคงคานี้ไปร่วมในพิธีด้วย
โดยปกติแล้วบรรดาฤาษีในอินเดียจะมีหม้อน้ำติดตัวอยู่เสมอ ซึ่งจะบรรจุน้ำจากแม่น้ำคงคา บริเวณที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือ "ตริเวนี" หรือที่คนไทยเรียกติดปากว่า "จุฬาตรีคูณ" ซึ่งมีแม่น้ำคงคาและยมนาใหลมาบรรจบกัน และเชื่อว่ามีแม่น้ำสรัสวตีไหลมาจากใต้ดินมาบรรจบกันที่นี่ด้วย ชาวฮินดูนิยมที่จะตักน้ำจากแม่น้ำคงคาไปใช้ในการสรงน้ำเทวรูปและอาบกิน

ตามตำนานว่าแม่คงคานั้นไหลเวียนอยู่ที่นิ้วเท้าของพระวิษณุ เหตุที่พระคงคาต้องใหลลงมาที่โลกมนุษย์นั้น ก็เพราะว่าท้าวสักราชได้ทำพิธีอัญเชิญพระแม่คงคา ให้ลงมาส่โลกมนุษย์สืบต่อมาหลายชั่วคนจึงสำเร็จในสมัยของท้าวภคีรถ แต่ด้วยความแรงของพระแม่คงคา ซึ่งอาจจะทำให้โลกล่มสลายไปได้ พระศิวะเจ้าจึงได้รองรับแม่คงคาด้วยมวยพระเกศก่อน แล้วจึงปล่อยลงมาสู่โลกมนุษย์

อีกตำนานว่า เดิมทีโลกมนุษย์นั้นบังเกิดความแห้งแล้งอย่างหนัก ซึ่งเกิดจากการที่พระแม่คงคา ไม่ยอมปล่อยน้ำลงมาสู่โลกมนุษย์แล้วเสด็จหนีไป จึงทำให้มนุษย์และสัตว์ล้มตายมากมาย บรรดาเทวะเห็นดังนั้นจึงไปกราบทูลเชิญพระศิวะเจ้าให้ทรงจัดการเรื่องนี้ พระองค์จึงทรงออกตามหาพระแม่คงคากลับมา แล้วให้พระแม่คืนสายน้ำให้มนุษย์ แต่พระแม่ไม่ยอมพระองค์จึงทรงใช้พระเกศรัดพระแม่คงคาจนพระนางยอมปล่อยสายน้ำออกมา

บางตำนานก็ว่าพระศิวะเจ้าทรงได้พระแม่เป็นภรรยาลับๆ ด้วยความกลัวพระแม่อุมารู้แล้วจะทรงพิโรธ จึงซ่อนพระแม่ไว้ในมวยพระเกศ ให้พระแม่ปล่อยน้ำออกมาจากพระเกศของพระองค์เพื่อล้างบาปที่พระองค์ได้ทรงทำด้วย





พระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์


พระอินทร์ ชื่ออื่นๆ ท้าวสหัสมนัยน์ ท้าวโกสีย์ ท้าวสักกะ เทวราช อมรินทร์ ศักรินทร์ มัฆวาน เพรชรปาณี เป็นต้น มีลักษณะคล้ายพระนารายณ์
พระอินทร์มีรูปร่างที่สวยงาม มีกายสีเขียว บางครั้งก็สีทองจนขาวนวล แล้วแต่โอกาส
พระหัตถ์ถือวัชระ ใช้ปราบ พฤตาสูร หรือ ผีร้ายแห่งความแห้งแล้ง 
และอาจจะเห็นศาสตราวุธอื่นๆอีกอาทิ ศรศักรธนู พระขรรค์ ปรัญชะ ขอและร่างแห 
มีรถเทียมม้าสีแดง และม้าทรงสีขาวชื่อ อุจไฉศรพ เป็นม้าแก้ว ที่เกิดจากเกษียรสมุทร มีช้างทรงนามคชาเอราวัณ ซึ่งปกติจะเป็นเทพบุตรรูปงาม ชอบเสวยน้ำโสม ยามพระอินทร์จะไปไหน ก็จะแปลงเป็น ช้างเอราวัณ พระอินทร์ มีมเหสีมากมาย ดังปรากฎนาม นางสุธรรมา สุชาดา สุนันทา สุจิตราและมีนางฟ้าเป็นชายาอีก เก้าสิบสองนาง และ มีนางบำเรออีก ยี่สิบสี่ล้านนาง ในสมัยพระพุทธเจ้าพระอินทร์ได้ทรงดีดพิณสามสายถวายพระสติ พระโพธิสัตว์ ในการทำทุกขกิริยา
ศาสนาพราหมณ์ หรือ ศาสนาฮินดู แต่โบราณจะนับถือ พระอินทร์ ให้เป็นใหญ่สูงสุด พระอินทร์ถือได้ว่าคือเทพเจ้าองค์แรกสุดของศาสนาพราหมณ์ฮินดูก็ว่าได้ จนในปัจจุบัน การบูชาพระอินทร์ก็ยังมีอยู่ในหมู่ผู้ศรัทธาทั่วไป เพียงแต่ถูกลดบทบาทลงทั้งในศาสนาฮินดู ที่ยกย่อง พระพรหม พระวิษณุ (พระนารายณ์) และ พระศิวะ (พระอิศวร) ขึ้นเป็นใหญ่แทน
เมื่อโบราณ พระอินทร์ ถือว่ามีอานุภาพสูงที่สุดในบรรดาเทพทั้งปวง สามารถดลบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆได้ เช่น บันดาลให้ฝนตกตามฤดูกาล ให้พืชพรรณงอกงาม เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดี และยังเป็นเทพเจ้าที่มีอำนาจสูงสุดในการบันดาลให้เกิดภัยทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นฝนตกหนัก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า น้ำท่วม พายุอันรุนแรง ฯลฯ

พระอินทร์ มี วัชระ หรือ สายฟ้า เป็นศาสตราวุธคู่กาย วัชระนี้สามารถสร้างสายฝนและฟ้าผ่า ฟ้าร้องได้ เป็นศาสตราวุธของเทพเจ้าที่ทรงอำนาจเป็นอย่างมาก สามารถผ่ามหาสมุทรได้ สามารถผ่าภูเขาได้ สามารถผ่าท้องฟ้าได้

พระวรกายของพระอินทร์นั้นมีสีเหลืองทอง กระจ่างสดใส อีกตำราก็ว่าพระอินทร์มีผิวสีแดงเข้ม สวมอาภรณ์อย่างสวยสดงดงาม ดูสะอาดสะอ้าน มีงูเป็นสร้อย สวมเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมาย เช่น สร้อยคอ กำไลข้อมือ แหวน มงกุฎอันตระการตา ศิลปินที่วาดรูปพระอินทร์ได้งดงามจะถือว่าเป็นมหากุศลอย่างยิ่ง

พระอินทร์สามารถแปลงกายได้สารพัด สามารถล่องหนไปปรากฎอยู่ที่ใดก็ได้ สามารถเนรมิตให้ร่างกายเล็กกระจิดอย่างมด หรือเนรมิตให้ร่างกายใหญ่โตมหึมาดั่งภูเขา

พาหนะของพระอินทร์มี 2 อย่าง คือ "รถม้า" และรถม้านั่นก็คือ "พระอาทิตย์" นั่นเอง

และอีกอย่างคือ "ช้างเอราวัณ" หรือช้าง 3 เศียร (แต่เดิมมีถึง 33 เศียร)

พระอินทร์เป็นมหาเทพที่ยิ่งใหญ่เหนือชีวิตของมนุษย์และสรรพสัตว์
มีหน้าที่ปกป้องดูแลโลกให้พ้นจากสิ่งเลวร้ายต่างๆ เป็นผู้นำเหล่าเทพเจ้าไปกำจัดอสูรร้ายในหลายคราว

นอกจากศาสนาพราหมณ์แล้ว ในศาสนาพุทธ พระอินทร์ ยังเป็นเทพผู้รักษาพระพุทธศาสนาให้อยู่ยืนยงถึง 5,000 ปี เนื่องจากพระอินทร์เป็นเทวกษัตริย์ อันหมายถึงเป็นราชาแห่งเหล่าทวยเทพ จึงมีอำนาจในการสั่งการ ทำลายผู้ที่จะนำพาพระพุทธศาสนาไปในทิศทางที่ไม่ดี

เมื่อพระอินทร์ได้ทรงสร้างอาณาจักรบนสรวงสวรรค์ให้ยิ่งใหญ่แล้ว ราชาแห่งทวยเทพพระองค์นี้ก็เนรมิตให้เหล่าเทวดาที่ได้ขึ้นสวรรค์ได้อยู่อย่างมีความสุขปราศจากมลทินและความเศร้าทุกข์ใดๆ

พระอินทร์มีศัตรูคู่กรณีที่สำคัญที่สุดคือ งูยักษ์วริตรา ได้ทำสงครามกันหลายครั้ง แต่ละครั้งก็กินระยะเวลายาวนาน และทุกๆครั้งพระอินทร์ก็จะเป็นฝ่ายชนะเสมอ พระอินทร์ จึงเป็นสัญลักษณ์ของ ธรรมะ และงูยักษ์ ก็เป็นสัญลักษณ์ของ อธรรม นั่นหมายถึงทั้งสองอย่างจะอยู่คู่กันและไม่มีทางดับสูญได้เลย

ท้าวสักกะเทวราช คืออีกพระนามหนึ่งของพระอินทร์ ในตำราหนึ่งกล่าวไว้ว่า พระอินทร์เกิดมาจากผู้ใจบุญจำนวน 33 คน ได้ร่วมกันสร้างศาลาและร่วมกันทำเส้นทางเพื่อถวายเป็นทาน เมื่อตายไปก็ไปเกิดเป็นเทวดา เทวดาเหล่านี้ก็รวมร่างกันกลายเป็นพระอินทร์ ช้างทรงของพระอินทร์จึงมี 33 เศียร เพื่อแสดงถึงผู้กระทำคุณงามความดี 33 คนนั่นเอง

พระอาสน์ (ที่นั่ง) ของพระอินทร์มีคุณสมบัติพิเศษ คือ เมื่อร้อนขึ้นมาคราใด นั่นหมายถึงโลกมนุษย์ได้เกิดเหตุร้าย อสูรร้ายออกอาระวาด เมื่อนั้นพระอินทร์ก็จะออกจากสวรรค์ แปลงกายเป็นสัตว์ที่มีร่างกายกำยำ แข็งแกร่ง เพื่อลงมาปราบอสูรให้สิ้นไป ผู้ที่ได้ประกอบความดีบนโลกมนุษย์ เมื่อสิ้นอายุแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดา ประทับอยู่บนสรวงสวรรค์อันเป็นวิมานของพระอินทร์

พระอินทร์จึงเป็นเทพที่จิตใจดีงาม คอยคุ้มครองผู้ที่กระทำความดีอยู่เสมอ





พระขันทกุมาร มหาเทพแห่งนักรบแห่งสวรรค์


พระขันทกุมาร มหาเทพองค์นี้มีชื่อใกล้มาทางฝ่ายไทย และมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระพิฆเนศ ในอินเดียเรียกพระขันทกุมารนี้ว่า สกันทะ (ผู้โลดเต้น ผู้ทำลาย) , กรรตติเกยะ (บางแห่งเขียนว่า การัตติเกยะ) อินเดียตอนใต้เรียก สุพราหมัณเย ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือมาก

ตามหมู่บ้านทั้งหลายในอินเดีย จึงนิยมตั้งศาลสักการะบูชาพระขันธกุมารกันแทบทุกหมู่บ้าน

รูป2 พี่น้อง พระพิฆเนศ และ พระขันทกุมารบางตำราว่าพระพิฆเนศเป็นน้องชาย แต่บางตำราก็ว่าพระพิฆเนศเป็นพี่ชาย
พระขันธกุมาร (ขันทกุมาร) เป็นโอรสของ พระศิวะเทพ กับ พระนางปราวตี (พระแม่อุมา) เกิดจากน้ำเชื้อของพระศิวะมหาเทพ ที่ร่วงหล่มลงพื้นธรณี จนยากที่จะพิสูจน์ว่าพระพิฆเนศกับพระขันธกุมารใครเป็นพี่เป็นน้อง
เทวกำเนิดของ พระขันทกุมาร นั้น มีไม่มากเหมือนเทพเจ้าองค์อื่นๆ กล่าวกันว่า พระขันทกุมารนี้เป็นหนุ่มรูปงาม มี 6 พักตร์ (บางแห่งวาดเป็นพระพักตร์เดียว) และมี 12 กร ผิวพรรณนั้นงดงามดั่งจันทร์คืนเพ็ญ แต่สง่างามดุจพระสุริยะเทพ

การกำเนิดของพระขันทกุมารนั้นก็เพื่อปราบอสูรที่ชื่อ ตาระกาสูร เป็นกษัตริย์แห่งแคว้นตรีปุระ อสูรตนนี้มีตบะแรงกล้ามาก สามารถบำเพ็ญฌานบารมีจนร้อนไปถึงพรหมโลก ทำให้จักรวาลสั่นสะเทือนโกลาหลไปหมด กษัตริย์อสูรตนนี้ไม่เกรงพระบารมีของมหาเทพผู้สร้าง (พระพรหม) คิดว่าตนเองก็เป็นหนึ่งเหมือนกัน

การบำเพ็ญฌานบารมีนั้นทำให้ พระพรหม ทนความร้อนไม่ไหว ต้องเสด็จมาประทานพรตามที่อสูรปรารถนา เหตุที่บอกว่าอสูรตาระกามีตบะแรงกล้านั้น เพราะได้ทำสมาธิอย่างเข้มงวดเป็นเวลายาวนานกว่า 100 ปีสวรรค์ ทำให้พรที่อสูรตนนี้ขอไว้กับพระพรหมคือขอให้มีชีวิตเป็นอมตะ แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดในตรีภพเทียบได้ และไม่มีใครสามารถสังหารเขาได้นอกเสียจากโอรสของพระศิวะเทพ ที่ขอพรไปเช่นนั้นเพราะล่วงรู้ว่าขณะนั้นพระศิวะกับพระแม่อุมาเทวียังไม่มีโอรสด้วยกันเลย

เมื่อตาระกาสูรได้รับพรจากพระพรหมแล้ว ก็เริ่มออกอาละวาดในจักรวาลทันที!! เริ่มต้นด้วยการยึดเอาวิมานและกวาดเอาทรัพย์สินของพระอินทร์ไปจนหมด บังคับให้พระฤาษีมอบ โคกามเกนุ ซึ่งเป็นโคที่มีคุณสมบัติพิเศษคือ สามารถบันดาลให้เจ้าของได้ทุกสิ่งทุกอย่าง นอกจากนี้ยังเปลี่ยนกฎเกณฑ์ธรรมชาติจนวุ่นวายไปหมด เช่น บังคับให้พระอาทิตย์ดับแสงและไร้ซึ่งความร้อน บังคับให้พระจันทร์ลอยค้างอยู่บนท้องฟ้าตลอดเวลา บังคับลมให้พัดโหม หรือเปลี่ยนทิศทางได้ตามคำสั่งของอสูรตาระกา ยังผลให้โลกเดือดร้อนวุ่นวายมาก

ฝ่ายเทวดาทั้งหลายอันมี พระวิษณุเทพ เป็นใหญ่นั้น ได้เสด็จไปยังพระทวารที่ประทับชั้นในของพระศิวะเทพ และร่วมกันเปล่งคำสรรเสริญในพระบารมีแห่งมหาเทวะ คราวนั้นถึงกับทำให้พระศิวะต้องทรงผละพระวรกายปรากฎกายต่อเบื้องหน้าเทพทั้งหลาย พระองค์ทรงเห็นใบหน้าที่เศร้าหมองระทมทุกข์ของเทวดาจึงได้ถามว่าเพราะเหตุอันใด

ฝ่ายวิษณุเทพเล่าเรื่องราวของอสูรตาระกาว่าได้พรจากพระพรหมให้มีชีวิตอมตะไม่มีใครสังหารได้นอกจากโอรสของพระศิวะเท่านั้น ฝ่ายเทพทั้งหลายจึงรอการประสูติของโอรสแห่งพระศิวะอยู่นานนับพันปี จึงได้มาเข้าเฝ้าเพื่อขอพึ่งบารมี
ครานั้น พระศิวะมหาเทพ ได้ทรงแบ่งน้ำเชื้อที่มีความร้อน เหมือนไฟแห่งการทำลายล้างออกมาหยดหนึ่งร่วงลงสู่พื้นดิน ด้วยความรีบร้อน พระอัคนี ได้รีบแปลงกายเป็นนกเขา กลืนเอาน้ำเชื้อนั้นเข้าไป ความร้อนแรงแห่งน้ำเชื้อนั้นทำให้พระอัคนีร้อนรนจนทนไม่ได้ พระศิวะแนะนำให้เอาน้ำเชื้อนั้นไปใส่ในครรภ์ของผู้หญิงแทน และต้องใส่ในครรภ์ของหญิงซึ่งได้อาบน้ำในวันแรกของเช้าตรู่เดือนมาฆะ

ในวันนั้น บรรดาภริยาของฤาษีทั้ง 7 ตนได้มาอาบน้ำ ปรากฎว่า ภริยาทั้ง 6 คน (เหลือเพียงคนเดียว) ที่ลงอาบน้ำนั้นถูกน้ำเชื้อที่นกเขาคายไว้ ซึมแทรกเข้าไปตามรูขุมขน นางทั้งหกจึงร้อนรนทุกข์ทรมานมาก นางทั้งหกได้ถูกเหล่าฤาษีขับไล่ออกจากอาศรม จึงได้ตัดสินใจทำลายน้ำเชื้อที่เป็นตัวอ่อนทิ้ง ด้วยพลังแห่งโยคะที่เทือกเขาหิมาลัย เพื่อจะได้หลุดพ้นจากความทรมาน ด้วยการเหวี่ยงตัวอ่อนลงไปที่แม่น้ำคงคา เช่นเดียวกับ พระแม่คงคา ที่ได้เหวี่ยงเอาตัวอ่อนนี้ขึ้นไปที่พงหญ้า เสมือนการชุบตัวจากแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ได้ปรากฎทารกน้อยขึ้นตนหนึ่งที่พงหญ้านั้น

พระพรหมทรงรู้ด้วยญาณว่า โอรสแห่งพระศิวะเทพได้ถือกำเนิดแล้ว จึงบัญชาให้พระฤาษีวิศวามิตรไปประกอบพิธีให้กับโอรสน้อยแห่งศิวะเทพ ทารกนี้พูดได้ตั้งแต่ยังแบเบาะว่า "ด้วยประสงค์ของพระศิวะเทพที่ส่งท่านมายังที่นี้ ขอให้ท่านฤาษีจงประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อชำระร่างกายของข้า ให้บริสุทธิ์ตามกฎแห่งพระเวทที่วางไว้เถิด"
2 พี่น้อง พระพิฆเนศ และ พระขันทกุมาร
บางตำราว่าพระพิฆเนศเป็นน้องชาย
แต่บางตำราก็ว่าพระพิฆเนศเป็นพี่ชาย

ข้างฝ่ายพระอัคนีที่เคยอุ้มน้ำเชื้อไว้ เมื่อสมัยจำแลงกายเป็นนกเขานั้น ได้เดินทางมายังที่แห่งนี้ด้วย และมอบคฑาศักดิ์สิทธิ์ถวายให้กับพระองค์ ทันทีที่ได้รับอาวุธ พระขันทกุมารก็เหาะขึ้นไปบนยอดเขาแห่งหนึ่ง เพื่อพิสูจน์พลังอำนาจแห่งตน ด้วยการใช้คฑานั้นฟาด จนภูเขาถล่มทลายลงในพริบตา ทันทีที่ยอดเขานั้นแยกออก ได้ปรากฎปิศาจ 10 โกฏิตนออกมาก แต่ก็ถูกพระองค์สังหารจนสิ้น

ต่อมา นางกฤตติกา (กลุ่มดาวทั้ง 6 ดวง) ได้ลงมาอาบน้ำ เห็นกุมารน้อยนอนอยู่ที่กอหญ้า ก็บังเกิดความรักใคร่ นำเอากุมารไปเลี้ยงดูในดินแดนของนางทั้งหก และเพื่อไม่ให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจในหมู่แม่นมทั้งหลาย พระกุมารจึงได้แยกร่างออกเป็น 6 พระองค์ (บางตำนานบอกว่ามี 6 พระพักตร์ในร่างเดียว) ด้วยเหตุที่เป็นลูกที่รักยิ่งของนางการัตตี พระองค์จึงได้ชื่อว่า พระการัตตีเกยะ (Kaitikeya)

พระศิวะมหาเทพ พระอุมาเทวี พระขันทกุมาร
ขณะเดียวกันนั้น ได้เกิดเหตุประหลาดกับพระนางปารวตี (พระแม่อุมาเทวี) คือมีน้ำนมไหลออกจากเต้านมทั้งสองข้าง นางจึงได้ถามเรื่องน้ำเชื้อที่หล่นบนผืนดินกับพระศิวะ เพราะนางเข้าใจว่า เหตุที่น้ำนมของนางซึ่งไหลอยู่นี้ ชะรอยว่าโอรสจะถือกำเนิดแล้ว แต่อยู่ที่ผู้ใดหรือแห่งหนใดกันเล่า พระศิวะจึงมีโองการให้ผู้ครอบครองกุมารรีบเอามาคืนด่วน มิฉะนั้นจะรับโทษหนัก

พระศิวะเทพและพระอุมาเทวี จึงเริ่มตรวจสอบถามความจริงในหมู่เทพ เริ่มจากพระพรหม ติดตามความไล่หาจนมาถึงกลุ่มดาวทั้งหก

พระศิวะเทพยินดีมาก ที่นางทั้งหกได้ดูแลโอรสของพระองค์เป็นอย่างดี จึงส่งคณะเทพบริวารไปทูลเชิญกุมารกลับเขาไกรลาส ในวันเสด็จกลับนั้น พระนางปราวตีได้จัดส่งราชรถที่สร้างโดยพระวิศวกรรมไปรับ โดยพระโอรสเสด็จกลับพร้อมกับนนทิเกศวร และพระแม่กฤตติกา เมื่อราชรถถึงเขาไกรลาส เทพเทวดาทุกชั้นฟ้าเสด็จมาอำนวยชัย ประโคมดนตรีเป่าสังข์ ต้อนรับกันอย่างเอิกเกริก มีการนำหม้อน้ำหลายร้อยใบที่บรรจุแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ มาชำระร่างกายให้กับกุมาร และเหล่าเทพได้มอบสิ่งของให้ดังนี้






พระกฤษณะ เทพแห่งความหลุดพ้น


พระกฤษณะ เป็น อวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ 

ในคัมภีร์ปุราณะ มหากาพย์รามายณะ มหาภารตะ (มหากาพย์เรื่อง "มหาภารตะ" ซึ่งเป็นหนังสือที่ยาวที่สุดในโลก) และตำนานเก่าต่างๆ ของอินเดีย รวมถึงคัมภีร์ทางศาสนาฮินดูอื่นๆ ได้บันทึกและกล่าวถึงไว้ว่า พระวิษณุเทพได้อวตารลงมาเพื่อปราบยุคเข็ญให้แก่เหล่ามวลมนุษย์ทั่วไป ในช่วงเหตุการณ์โลกเกิดกลียุคและเกิดความไม่สงบสุขจากเหล่าอสูร จึงทรงอวตาลลงมาในปางต่างๆ ซึ่งปางพระกฤษณะเทพ คือปางที่ 8 ในการอวตาร10 ปาง ของพระวิษณุเทพ นั่นเอง ลัทธิไวษณพนิกาย กล่าวไว้ว่าพระกฤษณะเกิดมาเพื่อทำลายอสูร ชื่อกังสะ ซึ่งเป็นลุงของพระกฤษณะเอง อสูรกังสะตนนี้ปลอมตัวมาเป็นกษัตริย์นามว่า อุคราเสน แห่งเมืองมถุรา และได้ใช้อำนาจแย่งชิงมเหสีจากกษัตริย์ (องค์จริง) มาโดยมิชอบ และมเหสีก็ทรงไม่ทราบว่าเป็นอสูรที่แปลงกายมาเป็นสวามีของตนอสูรกังสะ เมื่อขึ้นครองเมืองก็สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนทั่วไป ต่อมาเมื่อพระวิษณุเทพทรงทราบถึงความเดือดร้อนของประชาชน จึงทรงอวตารมาในปางพระกฤษณะเพื่อปราบอสูรกังสะตนนี้ 

พระกฤษณะนั้นเป็นบุตรของ พระวสุเทพ(โอรสท้าวศูรราช)และนางเทวกี (บุตรีท้าวอุคระเสน) ในนครมถุรา เมื่อหมดสมัยของท้าวศูรราชท้าวอุคระเสนก็ปกครองเมืองมถุราต่อ แต่พญากงส์ บุตรของท้าวอุคระเสน ได้เป็นกบฏ ถอดท้าวอุคระเสนแล้วขึ้นปกครองเสียเอง ครั้งเมื่อนางเทวกีตั้งครรภ์มีโหรทำนายว่า ทารกในครรภ์นั้น จะเป็นผู้วิเศษมาเกิด พญากงส์จึงจับนางเทวกีและพระวสุเทพขังเอาไว้ เมื่อครบกำหนดคลอดก็ให้ฆ่าทารกเสีย ทำเช่นนี้อยู่ 6 ครั้ง จนถึงครั้งที่8 เทวดาได้ย้าย ทารกไปไว้ในครรภ์ นางโหริณีมเหสีฝ่ายซ้ายของพระวสุเทพ ทารกนี้มีนามว่า พระ กฤษณะ มีกายสีดำ มีลักษณะของมหาบุรุษเพียบพร้อม พระวสุเทพจึงนำกุมารนี้ไปฝากโคบาล( ผู้เลี้ยงวัว ทำปศุสัตว์ )ชื่อนันทะ และนางยโศธา แล้วเอาทารกของนาง ยโศธาเปลี่ยนตัวแทนแต่พญากงส์ทราบเข้าจึงสั่งให้ฆ่าทารกเสียทั้งหมดแล้วให้ราชบุรุษจับตัวพระกฤษณะมาให้ได้ 
             นันทะและนางยโศธาจึงพาพระกฤษณะ ไปอยู่ที่ตำบล พฤนทาพน พระกฤษณะจึงเติบโตท่ามกลางหมู่โคบาล และให้ความอนุเคราะห์เหล่าโคบาลนี้ ระหว่างนั้นได้แสดงปาฏิหารย์มากมาย อย่างเช่น ยกภูเขาโควรรธนะ จนสามารถมีชัยเหนือพระอินทร์ จนได้ชื่อว่า อุเปนทร = ดีกว่าพระอินทร์ รวมถึง ปราบพญานาค กาลียะ ฯลฯ ญากงส์พยายามที่จะสังหาร พระกฤษณะหลายครั้ง ในที่สุดพญากงส์เชิญให้ไปเล่นสรรพกิฬาในเมืองมถุรา พญากงส์ได้วางตัวมวยปล้ำที่เก่งที่สุดเอาไว้เพื่อกำจัดพระกฤษณะ โดยเฉพาะ แต่พระกฤษณะสามารถเอาชนะได้และได้ฆ่าพญากงส์ตาย จากนั้นจึงพระเจ้าอุคระเสนขึ้นครองเมือง





พระแม่กาลี (มหากาลีเทวี) เทพีแห่งการทำลายอุปสรรค ขจัดศัตรู


พระแม่กาลี  คือร่างที่บ่งภาคมาจาก พระอุมาเทวี (พระแม่อุมา) โดยทรงมีจุดประสงค์เพื่อปราบอสูรตนหนึ่ง นามว่า อสูรทารุณ

ความเป็นมามีอยู่ว่า อสูรทารุณนี้แม้ว่าจะถูกฆ่าสักกี่ครั้งก็ไม่มีวันตาย แล้วที่สำคัญกว่านั้นเมื่อเลือดตกลงพื้นเมื่อใดก็จะทวีขึ้นเรื่อยไปไม่หมดสิ้น ความที่คิดว่ามีอิทธิฤทธิ์มากมาย ฆ่าไม่ตาย จึงทำให้อสูรทารุณเกิดฮึกเหิมในความเก่งกาจของตน จึงนำอิทธิฤทธิ์ ความเก่งกาจมาใช้ในการกลั่นแกล้ง รังแกผู้คน เทวดาทั่วไป สุดท้ายก็คิดจะครอยครองโลกทั้งสาม เมื่อเป็นดังนี้แล้วเหล่าเทวดา นางฟ้า ผู้ทรงศีลทั้งมวล จึงต้องนำเรื่องเข้าเฝ้าพระอิศวร เพื่อหาทางปราบอสูรตนนี้ เหล่าเทวดาทั้งหลาย เมื่อได้ฟังสรรพคุณของอสูร ก็ไม่มีใครกล้าอาสาออกไปสู้รบเลย

จนในที่สุด องค์พระศรีมหาอุมาเทวี เทพสตรีแห่งสวรรค์ ได้มีความประสงค์ที่จะออกปราบศัตรูร้าย ซึ่งพระองค์ได้ขอพรขอต่อองค์พระศิวะผู้เป็นเจ้า เพื่อให้ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ แล้วจึงเสด็จเพื่อบำเพ็ญตบะทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ ให้มีฤทธิ์อำนาจปราบศัตรูร้ายได้ โดยได้กระทำพิธีในอุทยานเขตแดนป่าหิมพานต์ โดยพระศรีมหาอุมาเทวีได้ทรงมอบหมายให้องค์ขันทกุมาร (หรือ พระสกันทะ ซึ่งเป็นโอรสอีกองค์หนึ่งของพระศิวะและพระแม่อุมาเทวี) รับหน้าที่ดูแลไม่ให้ใครย่างกรายเข้าไปในพิธีได้โดยเด็ดขาด

 เพื่อเสร็จพิธีแล้วพระแม่กาลีจึงรีบเสด็จออกจากอุทยาน เพื่อตามล่าสังหารอสูรทารุณ ซึ่งไม่นานพระแม่กาลีก็ได้เผชิญหน้ากับอสูรทารุณ และด้วยฤทธิ์อำนาจของทั้ง 2 ฝ่าย การต่อสู้ที่ยาวนานจึงเกิดขึ้น

จังหวะที่พระแม่กาลีทรงใช้ดาบฟันคออสูรขาด เลือดของอสูรก็หยดลงพื้น อสูรจำนวนมากจึงผุดขึ้นมาจากหยดเลือดเหล่านั้น อสูรที่เพิ่มทวีขึ้นเรื่อยๆตามหยดเลือดของอสูรทารุณ พระแม่กาลีเห็นดังนั้นจึงคิดว่าคงไม่มีวันฆ่าอสูรตนนี้ให้ตายได้เป็นแน่ 

พระแม่กาลีจึงคิดกลอุบายเพื่อเอาชัยชนะในครั้งนี้ให้ได้ โดยการตัดหัวของอสูรพร้อมทั้งดูดกินเลือดอสูรก่อนที่เลือดจะตกลงพื้น เมื่อกินจนหมดสิ้นแล้ว รูปกายของพระแม่กาลีจึงอ้วนใหญ่ ในมือนั้นถือหัวของอสูรที่ตัดร้อยเป็นพวงไว้ อสูรทารุณจึงสิ้นฤทธิ์ลงด้วยเหตุนี้

ด้วยความดีพระทัยที่ทรงได้รับชัยชนะในครั้งนี้ พระแม่กาลีจึงเต้นระบำอย่างสำราญหทัยที่สุด จนลืมพระองค์ ทรงยกพระบาทขึ้นหมายจะกระทืบลงพื้นโลกอย่างเต็มแรง!!

ชั่วระยะเวลานี้ เหล่าเทวดาทั้งหลายเห็นดังนั้นก็คิดว่าเมื่อพระแม่กาลีกระทืบพระบาทลงพื้น พื้นโลกคงแตกสลายสร้างความเดือดร้อนเป็นแน่แท้ จึงรีบพากันเข้าเฝ้าพระศิวะอย่างเร่งด่วน พระศิวะได้ฟังคำจากเหล่าเทวดาจึงได้ตะหนักว่า พระแม่กาลีที่มีรูปกายน่าเกลียดน่ากลัวนั้น แท้จริงควรจะเกรงใจพระองค์และจดจำพระองค์ได้บ้าง คิดได้ดังนั้นจึงเสด็จไปอย่างรวดเร็วและไปนอนขวางพื้นโลกไว้ พระแม่กาลีก้มลงเห็นพระศิวะนอนขวางอยู่จึงชะงักด้วยความเกรงอกเกรงใจพระสวามี จึงไม่กล้ากระทืบพระบาทลงพื้นดิน และหยุดการกระทำนั้นลง เหล่าเทวดาทั้งหลายจึงโล่งอก พระแม่กาลีแปลงร่างกลับคืนสู่สภาวะปกติ เหตุการณ์จึงจบลงฉะนี้





เทพีทุรคา (ทุรกาเทวี) เทพีแห่งพละกำลังและการสู้รบ


พระแม่ทุรคา หรือ พระแม่ทุรกา เป็นอีกปางหนึ่งของ พระแม่อุมาเทวี ที่อวตารมาปราบอสูรชื่อ มหิษาสูร นับว่าเป็นปางที่สำคัญและยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่าปาง พระแม่กาลี มีความเหี้ยมหาญ แข็งแกร่ง มีพละกำลังมาก แต่ไม่ดุร้ายน่ากลัวเท่ากับปางพระแม่กาลี เมื่อบูชาพระแม่ทุรคาอย่างสม่ำเสมอ พระองค์จะประทานพรด้านความกล้าหาญ ชนะศัตรูรอบทิศ การมีบริวาร มีความยุติธรรม ตลอดจนการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
วิธีแยกความแตกต่างระหว่าง พระแม่อุมา กับ พระแม่ทุรคา
พระแม่อุมาเทวี กับ พระแม่ทุรคาเทวี มีลักษณะหน้าตาคล้ายคลึงกัน ทำให้มีผู้สับสน เข้าใจผิด หรือมองสลับกันเสมอๆ โดยเฉพาะในงานภาพเขียน รูปบูชาของอินเดีย มักจะมีการวาดให้คล้ายๆกัน จึงขอแนะนำข้อสังเกตเบื้องต้นง่ายๆ ดังนี้
- พระแม่อุมา รูปภาพส่วนใหญ่จะวาดให้ทรงพาหนะ เสือ (ส่วนน้อยจะเป็นสิงโต)
- พระแม่ทุรคา รูปภาพส่วนใหญ่จะวาดให้ทรงพาหนะ สิงโต (ส่วนน้อยจะทรงพาหนะเสือ)
แต่ถ้าหากในรูปภาพนั้นไม่ได้ทรงพาหนะใดๆ
ให้สังเกตที่ พระกร-พระหัตถ์ (แขนและมือ) ที่ทรง ศาสตราวุธ (อาวุธ) ดังนี้
- พระแม่อุมา มักมี 4-8 พระกร หากปรากฎคู่กับพระศิวะไม่ค่อยมีศาสตราวุธใดๆ จะเป็นลักษณะประทานพรหรืออุ้มพระพิฆเนศและพระขันทกุมาร
- พระแม่ทุรคา มักมีมากกว่า 8,10,12,16 พระกรขึ้นไป ทรงศาสตราวุธครบถ้วน
และมักจะมีอสูรที่ชื่อ มหิษาสูร ที่กำลังถูกพระแม่ทุรคาใช้ ตรีศูล (อาวุธสามง่าม) หรือ ดาบ แทงอยู่ด้วย จิตรกรไม่นิยมวาดให้พระทุรคาปรากฎคู่กับพระศิวะ





พระแม่อุมาเทวี (ปารวตี) เทวีแห่งอำนาจวาสนาและบารมี


พระแม่อุมาเทวีเจ้าแม่อุมา หรือ ปารวตี คือพระนามแห่งพระแม่ผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล เป็นเทวีแห่งอำนาจวาสนาและบารมีอันสูงสุด พระองค์ทรงประทานยศถาบรรดาศักดิ์ และความเป็นใหญ่แก่ผู้หมั่นบูชาต่อพระองค์อย่างสม่ำเสมอ..!!!

อำนาจแห่งพระแม่อุมานั้น ยิ่งใหญ่หาสิ่งใดเทียบได้ พระองค์ทรงประทานชัยชนะเหนือศัตรู ประทานกำลังวังชาแห่งอิสตรี ทำลายสิ่งชั่วช้า ตลอดจนประทานบริวารและอำนาจในการปกครอง พระองค์ยังทรงประทานพรด้านความสมบูรณ์ ความอิ่มเอม ความผาสุขในการครองเรือน ครอบครัวที่เปี่ยมสุข ตลอดจนการคุ้มครองผู้ศรัทธาให้ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง

พระแม่อุมา ทรงเป็นมารดาแห่ง พระพิฆเนศเป็นชายาแห่ง พระศิวะ มหาเทพผู้ทำลายโลก 1 ใน 3 แห่ง พระตรีมูรติ พระแม่อุมาจึงเป็น 1 ใน 3 แห่งพระตรีศักติ ด้วย (ตรีศักติ หมายถึง พระแม่ทั้งสาม ได้แก่ พระแม่อุมา พระแม่ลักษมี พระแม่สรัสวตี) พระองค์มีวิมานสถิต ณ เขาไกรลาส เช่นเดียวกับพระศิวะเทพ มีสัญลักษณ์ประจำพระองค์คือ โยนี (ฐานรองศิวลึงก์) มีทิพยรูปเป็นหญิงที่งดงาม เปี่ยมไปด้วยความเมตตา เป็นมารดาแห่งสรรพชีวิตทั้งปวง ฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์หลากสีสัน ประดับด้วยทองคำอย่างวิจิตร


ศาสตราวุธ แห่งพระแม่อุมาเทวีคือ
- ตรีศูล เป็นสัญลักษณ์แห่งการปราบปรามสิ่งชั่วร้าย และ 
- ดาบ คือสัญลักษณ์แห่งความเฉียบขาด เป็นผู้ตัดสิน และอยู่เหนือผู้อื่น

พระแม่อุมาเทวี (เจ้าแม่อุมา) มีอวตารอยู่หลายปาง ปางที่สำคัญที่สุดอีก 2 ปางจากพระแม่อุมา คือ ปางพระแม่ทุรคา (ทุรกา) และ ปางพระแม่กาลี (เจ้าแม่กาลี) อ่านได้จากบทความตำนานพระแม่ทุรคาและพระแม่กาลี ในบทต่อๆไป

อีกปางหนึ่งที่อยากแนะนำ แต่ไม่ค่อยมีคนไทยรู้จัก นั่นคือ ปางพระแม่อุมาตากี คือการอวตารของพระแม่อุมาเทวี ที่รวมเอาพระแม่อีก 2 พระองค์เข้าไว้ด้วย คือ พระแม่อุมา พระแม่ลักษมี พระแม่สรัสวดี ได้อวตารรวมเป็นร่างเดียวกัน เหมือนกับพระตรีมูรติ นิยมนับถือกันในหมู่ผู้นับถือนิกายศักติ หรือนิกายที่นับถือเฉพาะเทพสตรีทั้ง 3 พระองค์ว่ายิ่งใหญ่เหนือกว่า พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ อันเป็นเทพบุรุษสูงสุดแห่งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
ตำนานพระแม่อุมาเทวี
ตามตำนานโบราณกล่าวกันว่า "พระแม่อุมา " นั้นแต่เดิมเกิดขึ้นจากการที่พระศิวะใช้พระหัตถ์ข้างขวาลูบเบาๆ ที่กลางพระอุระ พระแม่อุมาจึงจุติขึ้นกลางทรวงอกของพระศิวะ บ้างก็กล่าวไว้ว่าพระแม่อุมาเทวีเป็นธิดาของ ท้าวหิมวัต และ พระนางเมนกา เทพผู้เป็นใหญ่แห่งภูเขาหิมาลัย แต่ในบางคัมภีร์กล่าวไว้ว่าพระอุมาเป็นธิดาของ พระทักษะประชาบดี และเป็นพี่น้องกับ พระแม่คงคา (พี่สาวของพระแม่อุมา) พระอุมาในภาคนั้นมีพระนามว่า พระสตี เป็นชายาของ พระมุนีภพ คือ พระศิวะ อีกภาคหนึ่ง

เรื่องราวในตอนนี้คงเป็นตอนก่อนกำเนิดเป็นพระแม่อุมาเทวี ซึ่งได้ปรากฏเป็นเรื่องเล่าขานกัน เริ่มต้นจากความจงรักภักดีด่อพระสวามี (พระศิวะ) โดยพระนางได้ใช้อิทธิฤทธิ์บันดาลให้ไฟเผาไหม้ตนเอง

ซึ่งกล่าวไว้ว่า พระศิวะ ทรงอวตารลงมาในภาคของ มุนีภพ แต่ก็ด้วยความที่พระองค์ทรงแปลงร่างอวตารลงมาในชุดนุ่มห่มแบบปอนๆ มอซอ และมีสังวาลสวมคอเป็นประคำโดยนำกระดูกมาร้อยต่อกัน ไว้ผมหนวดเครารุงรัง ชอบนอนตามป่าช้า ร่างกายมีกลิ่นตัวเหม็นสาบ (แตกต่างจากการแบ่งภาคอื่นๆ) ทั้งนี้ก็เพื่อเสริมสร้างบารมี ด้วยการบำเพ็ญตน บำเพ็ญตบะ ซึ่งกาลต่อมาด้วยบุญกรรมที่สร้างสมกันมาแต่ก่อน ทำให้พระนางสตีมองเห็นรูปกายที่แท้จริงว่าพระมุนีภาพองค์นี้ก็คือ ภาคหนึ่งแห่งองค์พระศิวะผู้เป็นผู้ใหญ่ในสามโลก พระนางสตีจึงตกลงใจอยู่คอยรับใช้ดูแลในฐานะชายา ฝ่ายพระทักษะประชาบดีมิได้เห็นด้วยกับความคิดของพระนางสตีนัก แต่ก็มิได้ขัดขวางแต่ประการใด ก็มีความคิดที่มาได้ไม่ชอบใจในตัวของพระมุนีภพเลย กลับแสดงความรังเกียจในการกระทำ ทั้งรูปร่าง การแต่งกายของพระมุนีภพมาโดยตลอด

ฝ่ายบรรดาราชบุตรเขยต่างๆ ก็คอยเอาอกเอาใจผู้เป็นพ่อตาอยู่เป็นนิจตลอดมา เว้นก็แต่พระมนีภพผู้เป็นสวามีพระนางสตีเท่านั้น ที่ไม่เคยเข้ามาเอาใจเลย จึงเป็นเหตุผลอีกกรณี ที่ทำให้พระทักษะประชาบดียิ่งไม่พอใจมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก

จนกระทั่งวันหนึ่งพระทักษะประชาบดีต้องการจัดพิธียัญกรรม โดยพิธีการนี้ได้เชิญเหล่าเทพต่างๆ บนสวรรค์ พร้อมทั้งเหล่าราชบุตรเขยเข้าร่วมในพิธีกรรมนี้ทุกองค์ แต่ก็ยกเว้นพระมุนีภพเพียงพระองค์เดียว ที่ไม่ได้ให้เข้าร่วมพิธียัญกรรมในครั้งนี้ด้วย ด้านพระนางสตีเมื่อได้ฟังดังนั้น จึงเข้าสอบถามกับผู้เป็นบิดาถึงเรื่องนี้ ว่ามีเหตุอันใดจึงไม่เชิญพระสวามีของตนให้เข้าร่วมพิธียัญกรรม ฝ่ายผู้เป็นพ่อแรกๆ ก็กล่าวถึงการกระทำ การแต่งกายของพระมุนีภพว่าไม่เหมาะสมและพูดจาดูหมิ่น ดูถูกพระมุนีภพในทางที่เสียหาย ซึ่งทุกสิ่งที่กล่าวได้กระทำต่อหน้าราชบุตรเขยองค์อื่นๆ ที่มาร่วมในงานนี้ แต่พระนางสตีก็อ้อนวอนต่อบิดา ให้พระสวามีของตนได้เข้าร่วมในพิธีนี้ จนพระทักษะประชาบดีเกิดความรำคาญเป็นยิ่งนัก จึงกล่าววาจาด้วยเสียงอันดัง ต่อหน้าผู้เข้ามาร่วมในพิธีด้วยความดูหมิ่น รังเกียจต่อพระมุนีภพยิ่งนัก จนในที่สุดพระนางสตีผู้จงรักภักดีต่อสวามีของตน สุดที่จะทนต่อไปได้ ในวาจาที่รับฟังจากพระบิดาตนเองที่กล่าวประจานพระมุนีต่อหน้าผู้อื่น
พระนางสตีจึงตัดสินพระทัยแสดงอิทธิฤทธิ์ เปล่งแสงเปลวไฟอันร้อนแรงจากภายในกาย จนเผาตนเองมอดไหม้ต่อหน้าพระบิดาและผู้ร่วมพิธี จนสิ้นชีพในที่สุด (บางคัมภีร์กล่าวไว้ว่าพระนางสตีกระโดดเข้ากองไฟในพิธี)

ฝ่ายพระศิวะในภาคพระมุนีภพ เมื่อได้ฟังคำเล่าบอกจาก พระฤๅษีนารท (ฤาษีนารอด) ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระชายาของพระองค์ทรงเศร้าเสียใจเป็นที่สุด จากความเศร้าที่ทรงมีอยู่นั้น จึงทรงดึงเส้นผมออกมาปอยหนึ่ง ก็บังเกิดเป็นอสูรร่างกายใหญ่โต มีฤทธิ์เดชมากมาย มีพันเศียร พันกร สวมประคำหัวกระโหลกและงู นามว่า อสูรวีรภัทร บางคัมภีร์กล่าววาอสูรวีรภัทรนี้แบ่งภาคโดยออกจากพระโอษฐ์ของพระศิวะ




พระแม่สรัสวดี เทพีแห่งความรู้


พลังอำนาจแห่งมหาเทวีทั้ง 3…
พระแม่สรัสวดี คือ ชายาของ พระพรหม (ผู้สร้างโลก)
พระแม่ลักษมี คือ ชายาของ พระวิษณุ (ผู้ดูแลโลก)
พระแม่อุมา คือ ชายาของ พระศิวะ (ผู้ทำลายโลก)

พระแม่สรัสวดี เป็นตัวแทนแห่ง ปัญญาความรู้
พระแม่ลักษมี เป็นตัวแทนแห่ง ความร่ำรวย
พระแม่อุมา เป็นตัวแทนแห่ง ความมีอำนาจ

ซึ่งคุณสมบัติทั้ง 3 ประการนี้ (ความรู้ ร่ำรวย มีอำนาจ) ก็คือ 3 คุณสมบัติสูงสุดที่มนุษย์ทุกคนดิ้นรนแสวงหา และไม่มีผู้ใดปฏิเสธเลยว่า บุคคลที่มีทั้งปัญญาความรู้ มีทั้งความร่ำรวยสมบูรณ์ และมีทั้งอำนาจบารมี จะสามารถยืนหยัดเฉิดฉาย อยู่ในแวดวงสังคมได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ชาวฮินดูจึงเชื่อว่า การกราบไหว้เคารพบูชาพระแม่หรือมหาเทวีทั้ง 3 พระองค์นี้ด้วยซื่อสัตย์ และมอบความรักความศรัทธาอย่างแรงกล้าแก่พระองค์แล้ว พระองค์ย่อมประทานพรให้ผู้ศรัทธาได้รับทั้งปัญญา ความร่ำรวย และความมีอำนาจอย่างครบถ้วน

ความงามของพระแม่ทั้ง 3 พระองค์นั้นก็มีความงามที่แตกต่างกันไป โดยผู้บูชาสามารถมองเห็นและรู้สึกได้ทุกคน นั่นคือ
พระแม่สรัสวดี มีความงามแบบ สุขุม นิ่ง เยือกเย็น ดูฉลาด
พระแม่ลักษมี มีความงามแบบ น่ารัก นุ่มนวล อ่อนช้อย ดูอบอุ่น
พระแม่อุมา มีความงามแบบ น่าเกรงขาม ดูเฉียบขาด

พระแม่สรัสวดี จะทรงเครื่องดนตรีเสมอ
image from dollofindia.com
พระแม่สรัสวตี เทวีแห่งสรรพความรู้

พระนามของพระแม่สรัสวดี นั้นออกเสียงเรียกได้อีกหลายวิธี เช่น พระแม่สรัสวตี พระแม่สุรัสวดี พระแม่สุรัสวตี ฯลฯ

พระแม่สรัสวดี คือชายาแห่งพระพรหมผู้สร้างโลก พระองค์ประทับอยู่ในวิมาน ณ สวรรค์ชั้นพรหม หรือพรหมโลก เป็นมหาเทวีหนึ่งในสามเทวีสูงสุด ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในประเทศอินเดียยังมีแม่น้ำสายที่สำคัญมากที่ชื่อ สรัสวดี อีกด้วย

พระสรัสวดี หรือ พระสุรัสวดี ทรงเป็นธิดาแห่งพระทักษะและนางประสูตร แต่ในมหากาพย์มหาภารตะนั้นมีการกล่าวถึงว่า พระกฤษณะคือผู้สร้างพระสุรัสวตี และคัมภีร์พระเวทขึ้นมาพร้อมกันจากจิตใจของพระองค์ พระแม่สุรัสวตีจึงถือว่าเป็นเทพแห่งพระเวททั้งปวง
พระแม่สรัสวตีจึงเปรียบเสมือนครู อาจารย์ พระองค์คือเทวีแห่งสรรพความรู้ วิชาการอันล้ำลึก วิทยาการอันก้าวหน้า พระองค์คือสัญลักษณ์แห่งงานศิลปะทุกแขนง ทั้งการวาดเขียน การดนตรี อักษรศาสตร์ การแต่งตำรา การเขียนหนังสือ พระองค์คือเทวีแห่งปรีชาญาณอันชัดเจนแจ่มแจ้ง การเล่าเรียน ศึกษาหาความรู้ การวิจัย การวิเคราะห์ การพูดจา การเจรจาต่อรอง ตลอดจนเป็นผู้ให้กำเนิดอักขระของอินเดีย คือ อักษรเทวนาครี นั่นเอง

พระองค์ยังเป็นผู้ให้กำเนิดบทสวดมนต์บทแรกของจักรวาล ชาวฮินดูยังนับถือพระสรัสวดีเป็น เทวีแห่งเวทมนต์ คาถา และการประกอบพิธีกรรม ฉะนั้น หากมีการประกอบพิธีบูชาเทพหรือเทศกาลใดๆแล้ว ถ้าอัญเชิญ พระพิฆเนศ เป็นเทพองค์แรกก็จะทำให้พิธีนั้นๆเกิดสิริมงคลขึ้น และการอัญเชิญ พระแม่สรัสวตี ร่วมด้วย ก็ย่อมบันดาลให้การสวดมนต์และการประกอบพิธีกรรมทุกขั้นตอน ดำเนินไปอย่างศักดิ์สิทธิ์ มีพลังเข้มข้นและมีประสิทธิภาพสูงสุด
พระสรัสวดีทรงโปรดการแสดงดนตรี การบรรเลงบทเพลง การร้องเพลงถวาย การอ่านบทกวีถวาย ฯลฯ ผู้บูชานิยมเปิดเพลง หรือบรรเลงดนตรีที่มีท่วงทำนองประณีตงดงามถวายแด่พระองค์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีประเภทใดท่านก็โปรดทั้งสิ้น เช่น พิณ จะเข้ ขิม ไวโอลีน กีต้าร์ เปียโน กลอง ฯลฯ

รูปภาพของพระแม่สรัสวดี หรือ สรัสวตี นั้นจะสังเกตได้ง่ายที่สุดคือ พระองค์จะทรงเครื่องดนตรีที่เรียกว่า วีณา (จะเข้ของอินเดีย) อยู่เสมอ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการดนตรี ศิลปะทุกแขนง และการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ฯลฯ พระหัตถ์อีกข้างจะถือ คัมภีร์ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความรู้ ปัญญา การเขียน การอ่าน การศึกษา และพระหัตถ์อีกข้างทรงถือ ลูกประคำ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการสวดมนต์ การภาวนา การทำสมาธิ การประกอบพิธีกรรม ฯลฯ

บางลัทธิ บางคติที่มีการวาดรูปพระสรัสวตีเพื่อการบูชานั้น อาจจะวาดให้พระองค์ทรง ขลุ่ย สังข์ คันศร คฑา บ่วง ลูกบด ประตัก ฯลฯ แล้วแต่จิตรกรจะสร้างสรรค์ขึ้น สำหรับพาหนะของพระแม่สรัสวดีคือ หงษ์ และ นกยูง เน้นที่สีขาว บางครั้งก็ทรงประทับบนดอกบัวสีขาว

แม้ว่าพระสรัสวดีจะเป็นชายาของพระพรหม แต่ก็มักจะปรากฎเดี่ยวๆ ไม่ค่อยปรากฏคู่กับพระพรหมเท่าใดนัก หรือมักปรากฎพร้อมกับพระพิฆเนศและพระแม่ลักษมี ในรูปภาพบูชาแบบ ตรีเอกานุภาพ (พลังทั้งสาม) หรือปรากฎพร้อมพระแม่ลักษมีและพระแม่อุมา ในรูปภาพบูชาแบบ ตรีศักติ (พระแม่ทั้งสาม) มากกว่า

ในทางศาสนาพุทธ พระสรัสวดี ก็มีพุทธคติเป็นเทพแห่งการศึกษา โดยเฉพาะในพุทธนิกายมหายานนั้น ก็มีความสำคัญรองจาก พระนางปรัชญาปารมิตา และ พระนางตารา (ข้อมูลของ อ.กิตติ วัฒนะมหาตม์)

การบูชาพระสรัสวตีนั้นก็เหมาะสมแก่นักเรียน นักศึกษา มีการประดิษฐานเทวรูปในสถานศึกษา เช่น ที่ วัดเทพมณเฑียร ก็ประดิษฐานเทวรูปพระแม่สรัสวตีไว้หน้าทางเข้า โรงเรียนภารตวิทยาลัย ผู้ที่จะเดินเข้าโรงเรียนและวัดเทพมณเฑียรก็จะสักการะเทวรูปพระแม่สรัสวตีก่อนเสมอ นอกจากนี้พระแม่สรัสวดียังเหมาะสมแก่การบูชาสำหรับผู้มีอาชีพเป็นครู นักวิจัย นักวิชาการ นักโบราณคดี ผู้ที่อยู่ในแวดวงแพทย์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ฯลฯ

นอกเหนือจากวิชาชีพวิทยาศาสตร์ แพทยศาสตร์ และครุศาสตร์แล้ว ผู้ที่สมควรบูชาพระแม่สรัสวดีก็ยังมีสายวิชาชีพศิลปะ การวาดเขียน การแต่งเพลง การดนตรีทุกแขนง ตลอดจนสายนิเทศศาสตร์ นักเขียน นักข่าว นักพูด นักบรรยาย ฯลฯ
จริงๆแล้วก็เรียกได้ว่าครอบคลุมแทบทุกสาขาอาชีพเลยทีเดียว ฉะนั้น ผู้ที่ต้องการค้นคว้าหาความรู้และพัฒนาฝีมือทักษะในวิชาชีพของตนอย่างไม่หยุดนิ่ง ก็ขอแนะนำให้บูชาพระแม่สรัสวดีเป็นเทพประจำตัวเพื่อขอพรให้มีทักษะและความรู้เพิ่มพูนยิ่งๆขึ้นไป

คนไทยสมัยก่อนมักออกเสียงพระองค์ว่า สุรัสวดี อันปรากฎในหนังสือ จินดามณี และชาวไทยยังถือว่าพระองค์เป็นผู้อุปถัมภ์การละคร การแสดง การร่ายรำ จึงได้มีการมอบ รางวัลพระสุรัสวดี ให้แก่นักแสดงและผู้เกี่ยวข้องกับวงการภาพยนต์ไทยมานานหลายปีแล้ว

เทศกาลสำคัญขององค์พระแม่สรัสวดี คือ เทศกาลวสันตะ ปัญจมี ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี มีการประกอบพิธีบูชาพระสรัสวตีทั้งวันทั้งคืน พร้อมทั้งแห่เทวรูปไปทั่วเมือง และทำการสรงน้ำ หรืออัญเชิญลงสรงน้ำในแม่น้ำ เช่นเดียวกับวันคเณศจตุรถี มีการตกแต่งบ้านเรือนและเทวาลัยของพระองค์ด้วยดอกดาวเรือง ดูสวยงามไปทั้งเมือง การประกอบพิธีในเทศกาลนี้ก็เพื่อต้อนรับการมาของฤดูใบไม้ผลิ หรือวสันตฤดูนั่นเอง





พระตรีมูรติ มหาเทพ ผู้สร้าง ผู้รักษา ผู้ทำลาย


พระตรีมูรติ มาจากคำว่า ตรี หมายถึงสาม และคำว่า มูรติ หมายถึงรูปแบบ ดังนั้นคำว่า ตรีมูรติ จึงหมายถึง รูปแบบของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ ประกอบด้วย พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ เป็นหนึ่งในลัทธิที่สำคัญในศาสนาพราหมณ์ หากมองตามหลักปรัชญาคือ พระผู้สร้าง พระผู้รักษา และพระผู้ทำลาย เปรียบได้กับหลักธรรมที่ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

พระพรหม+พระวิษณุ+พระศิวะ = พระทัตตาเตรยะ = พระตรีมูรติ

การกำเนิด "พระตรีมูรติ" ก็มีกล่าวกันไว้หลายตำแหน่งต่างๆกัน และมักจะเข้าใจว่าพระตรีมูรติเป็นภาครวมทั้งสามพระองค์ในร่างเดียวกัน เรียกว่า ทัตตาเตรยะ (Dattatreya) คำว่า ทัตตา (Datta) หมายถึง การมอบให้พระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ ส่วนคำว่า เตรยะ (treya) หมายถึง ผู้เป็นบุตรแห่งฤาษีอัตริหรือเตรยะ อันเป็นอวตารของมหาเทพทั้งสามพระองค์ บ้างก็กล่าวว่าคือองค์พระนารายณ์ สำหรับเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระตรีมูรติความเดิมมีอยู่ว่า….

ตราบหนึ่งมีฤาษีนามว่า "อณิมาณฑวย" (อะ-นิ-มาน-ดับ-วยะ) กำลังนั่งสมาธิบำเพ็ญตบะอยู่นั้น ได้มีโจรกลุ่มหนึ่งกำลังหนีเจ้าหน้าที่ผ่านมาทางนั้นพอดี แต่ฤาษีอยู่ในฌานสมาธิจึงไม่ยอมปริปากพูดใดๆ ทำให้เจ้าหน้าที่คิดว่าฤาษีเป็นโจรเสียเอง จึงได้จับตัวมาลงโทษและถูกเจ้าเมืองสั่งประหารชีวิต โดยการเสียบตรีศูลไว้บนยอดเขาแห่งหนึ่งแต่ฤาษีขณะนั้นยังไม่ตาย

ระหว่างนั้น นางศีลวตี ภรรยาที่ซื่อสัตย์ต่อสามีชื่อ "อุครศรวัส" กำลังแบกสามีให้ขี่คอตนเอง และกำลังเดินทางผ่านเขาลูกนั้นพอดีเพื่อจะหานาง อนุสูรยา ซึ่งเป็นเพื่อนรักกัน ประกอบกับวันนั้นมีฝนตกหนักทำให้เดินทางลำบาก สามีที่รักของนางจึงกล่าวโทษฤาษี (อณิมาณฑวย) หาว่าเป็นตัวต้นเหตุทำให้ฝนตก เมื่อฤาษีได้ยินเข้า ก็ไม่พอใจ แม้กำลังจะใกล้ตาย แต่ก็ไม่วายที่จะสาปแช่ง ให้ศีรษะของอุครศรวัสแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงยามใด ที่พระอาทิตย์ขึ้น นางศีลวตีได้ยินคำสาปเข้า ก็ไม่ยอมให้สามีเป็นเช่นนั้น จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานขอไม่ให้พระอาทิตย์ขึ้นอีกเลย ซึ่งคำอธิษฐานได้บังเกิดผลทำให้พระอาทิตย์ไม่ขึ้น จึงเดือดร้อนกันไปทั่วทั้งสามโลก ความแจ้งไปยัง พระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ แต่ก็ไม่สามารถจะช่วยใดๆได้ เว้นแต่ว่าขอให้นางศีลวตีถอนคำอธิษฐานนั้นเสีย ดังนั้น ทั้งสามพระองค์จึงได้เสด็จไปหานางอนุสูยาก่อน เพื่อให้นางไปขอร้องนางศีลวตีถอนคำอธิษฐานอีกครั้ง ในระหว่างไปพบนางอนุสูยานั้น สามีนางคือ "อรตี" ไม่อยู่บ้าน โดยทำทีว่าขออาหารจากนางอนุสูยา นางยินยอมทำตามที่ร้องขอ แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่านางจะต้องจัดอาหารให้โดยปราศจากอาภรณ์ เหมือนหนีเสือปะจรเข้ เพราะว่าหญิงใดเปลื้องอาภรณ์ต่อหน้าผู้อื่นที่ไม่ใช่สามี ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ซื่อสัตย์ แต่นางไม่อยากผิดคำมั่นสัญญา อีกทั้งคำร้องขอที่แปลกประหลาดนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ซึ่งอาจเป็นกลลวงอะไรสักอย่างได้ เมื่อได้เล็งเห็นเช่นนั้น นางจึงนึกถึงสามี และอธิษฐานที่นางได้กระทำไป ไม่ได้เป็นสิ่งยั่วยวนหรือกามราคะใดๆ เมื่อทั้งสามพระองค์ร้องขอออกมาว่า "โอ้มาตา โปรดให้อาหารแก่เราเถอะ" ประโยคนี้ทำให้นางตัดสินใจคิดเสียว่าทั้งสามพระองค์คือ บุตรของนาง ด้วยความเมตตานางจึงเปลื้องอาภรณ์ออก ทันใดนั้นพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ ก็กลับกลายร่างเป็นทารกน้อยทั้งสาม นางอนุสูยาจึงให้น้ำนมและอาหารจนอิ่มหลับไป

เมื่อสามีของนางอนุสูยากลับมาเห็นเข้าและรับทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงได้เข้าไปดูและปลุกขึ้นมาเพื่อชื่นชม แต่แล้วปรากฎว่า ทารกน้อยกลับกลายร่างเป็นพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามดังเดิม พระองค์ทรงสรรเสริญนางที่มีความเมตตา และร้องขอให้นางอนุสูยาไปบอกนางศีลวตี เพื่อขอให้ถอนคำอธิษฐานนั้นเสีย โดยที่สามีนาง (อุครศรวัส) จะไม่ตาย นางศีลวตีเมื่อรับรู้เรื่องราวจึงยินยอมโดยดี ทั้งสามพระองค์จึงตรัสถามนางอนุสูยาว่าต้องการขอพรสิ่งใด นางทูลขอให้พระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ เกิดเป็นบุตรของนางในภายภาคหน้า ทั้งสามพระองค์จึงได้ประทานพรตามคำขอ โดยที่พระนารายณ์เกิดเป็นพระทัตตาเตรยะ พระศิวะเกิดเป็นทุรวาสัส และพระพรหมเกิดเป็นพระจันทร์

"คติคนไทยที่มีต่อพระตรีมูรติเป็นอย่างไร"
แต่ที่เป็นที่น่าสังเกตว่าคนไทยส่วนใหญ่มักจะเชื่อกันว่า พระทัตตาเตรยะ หรือ พระตรีมูรติ ไม่ว่าจะเป็นร่างเดียว หรือแยกร่างเป็นพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ก็ตาม ความศรัทธาที่มีต่อพระองค์ ได้สืบทอดผ่านกันมาหลายยุคหลายสมัย จนได้รับเทิดทูน กลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของการประทานความรัก และความสมหวังให้มวลมนุษย์ตราบเท่าจนทุกวันนี้






พระพรหม (Brahm) เทพแห่งการสร้าง


พระพรหม (อักษรโรมัน Brahm) เป็นเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ฮินดู ถือว่าเป็นผู้สร้างจักรวาล และเป็นหนึ่งในตรีมูรติ อันประกอบด้วยพระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ เป็นคนละอย่างกับ พรหมัน อันเป็นเป้าสูงสุดของปรัชญาฮินดู แต่มีรากศัพท์เดียวกัน โดยที่พรหมันนั้นเป็นนาม นปุงสกลิงก์ คือไม่มีเพศ ขณะที่พระพรหม เป็นปุลลิงก์ หรือบุรุษเพศ ตามคัมภีร์พระเวท ถือว่าพระพรหมมีชายา คือพระนางปชาบดี มีหงส์เป็นพาหนะ มี 4 พระพักตร์ เป็นเทพแห่งการสร้างและการให้พร ที่เรียกว่า "พรหมพร" ถือเป็นเทพเจ้าแห่งความเมตตา
ในคติพุทธศาสนา พระพรหม เป็นชาวสวรรค์ชั้นสูงขั้นหนึ่งที่สูงกว่าเทวดาทั่วไป เรียกว่า "พรหม" พระพรหมไม่มีเพศ แต่ก็ยังอยู่ในกามาวจรภพ มีการวนเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสวรรค์ที่เรียกว่าชั้นพรหม พระพรหมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ พรหมที่มีรูป เรียกว่า "รูปพรหม" มีทั้งหมด 16 ชั้น และพรหมที่ไม่มีรูป เรียกว่า "อรูปพรหม" มีทั้งหมด 4 ชั้น โดยอรูปพรหมจะสูงกว่ารูปพรหม
พระพรหมมีชื่อเรียกอื่นในภาษาไทยเช่น จตุรพักตร์, ธาดาบดี, หงสรถ เป็นต้น โดยพระพรหม เป็นที่นิยมมากในเมืองไทย และมีรูปปั้นอยู่ที่สี่แยกราชประสงค์ด้วย




พระพิฆเนศ


คัมภีร์ปราณะได้บันทึกไว้ช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ 1 กล่าวถึงการกำเนิดพระพิฆเนศในฐานะเทพ และโอรสของพระแม่อุมาเทวีกับพระศิวะเทพ โดยแต่ละตำนานได้กล่าวไว้แตกต่างกัน ดังนี้
ตำนานที่หนึ่ง ปราบอสูรและรากษส
เมื่ออสูรและรากษส ทำการบวงสรวงพระศิวะเพื่อขอพรต่อพระองค์จนได้รับพร สมประสงค์ ต่อเมื่อได้ใจกลับรุกรานเหล่าเทวดาให้ได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว จนความถึงพระอินทร์จึงจำต้องพาเหล่าเทวดาทั่งหลายไปขอเข้าเฝ้าพระศิวะเจ้า เพื่อขอให้ทรงหนหนทางหรือผู้ที่จะปราบเหล่าอสูรและรากษสใจพาลเหล่านั้น เมื่อได้ฟังคำร้องทุกข์จากเหล่าเทวดาแล้ว พระศิวะจึงทรงแบ่งกายเป็นบุรุษรูปงามซึ่งจะไปถือกำเนิดในครรภ์ของพระอุมาเทวี เมื่อถึงเวลากำเนิดแล้ว พระองค์จึงทรงให้พระนามว่าพระวิฆเนศวรเพื่อทำหน้าที่ปราบอสูรและรากษสทั้งหลาย เมื่อเสร็จสิ้นการปราบอสูรแล้ว พระองค์จึงทรงมอบหมายให้พระวิฆเนศวรทรงเป็นผู้ขัดขวาง และป้องกันเหล่าผู้มีจิตใจพาลต่างๆ ที่จะมาขอพรจากพระศิวะเพื่อนำไปใช้ในทางที่ผิด รวมทึ้งเป็นผู้คัดสรรเหล่าเทวดาและมนุษย์ผู้ทำกรรมดีและช่วยเหลือให้ค้นพบกับความสำเร็จ จากการขอพรต่อพระศิวะต่อไป
ตำนานที่สอง พระปารวตี (พระแม่อุมาเทวี) ปั้นเหงื่อไหลให้เป็นพระบุตร
เมื่อคราวที่พระปารวตีสรงน้ำอยู่ในอุทยาน พระองค์ทรงนำเหงื่อไคลของพระองค์มาปั้นเป็นหุ่นเทวบุตรรูปงาม และทรงใช้เวทย์มนต์เพื่อให้หุ่นนั้นมีชีวิตขึ้นมา จากนั้นจึงทรงรับสั่งให้เทวบุตรออกไปเฝ้ายังด้านหน้าประตูทางเข้าอุทยาน โดยได้รับสั่งว่าห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาโดยเด็ดขาด เหตุการณ์เป็นเช่นนี้มาโดยตลอดทุกครั้งที่พระแม่อุมาทรงสรงน้ำ ณ อุทยานแห่งนี้ จนกระทั่งเมื่อถึงวันกำหนดเสด็จกลับของพระศิวะ และเมื่อทั้งสองพระองค์พบกันในคราแรกต่างก็จะเข้าไปในอุทยาน อีกฝ่ายก็ปกป้องมิให้ผู้ใดย่างกายเข้าในอุทยานได้ด้วยเทวบุตรทรงได้รับคำสั่งของพระอุมา ห้ามมิให้ผู้ใดล่วงละเมิดเข้าไปยังสถานที่สรงน้ำแห่งนี้ เมื่อเป็นดั่งนั้นพระศิวะจึงทรงสั่งให้บริวารเข้าต่อสู้และได้สังหารเทวบุตร (แต่ในบางคัมภีร์ก็ว่าพระศิวะทรงใช้ตรีศูลตัดเศียรเทวบุตรนั้น บ้างก็ว่าพระวิษณุทรงใช้จักรตัดเศียร)
เมื่อพระปารวตีทรงพบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระองค์ทรงโกรธและโมโหพระสวามียิ่ง จนถึงกับทำศึกใหญ่ระหว่างทั้งสองพระองค์ ร้อนถึงพระฤาษีนารอด (นารท) ต้องออกรับหน้าเจรจาศึกในครานี้ โดยพระปราวตีได้กล่าวให้พระศิวะผู้สวามีต้องหาหนทางให้เทวบุตรฟื้นชีวิตจึงจะยอมสงบศึกให้
พระศิวะจึงทรงมีคำสั่งให้เทวดาผู้เป็นบริวารเดินทางไปทิศเหนือ และให้ตัดศรีษะของสิ่งมีชีวิตแรกที่พบเพื่อนำมาต่อให้กับเทวบุตรผู้เป็นโอรส ไม่นานนักเทวดาก็เดินทางกลับมาพร้อมกับนำเศียรช้าง (มีงาเดียว) เพื่อมาต่อให้พระโอรส ซึ่งต่อมาจึงทรงตั้งพระนามใหม่ คือ คชานนะ (มีหน้าเป็นช้าง) และเอกทันต (ผู้มีงาเดียว) เมื่อได้ชุบชีวิตฟื้นแล้วพระปราวตีจึงทรงเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ทั้งสองพระองค์ได้ฟังว่าทั้งสองพระองค์ทรงเป็นพระบิดาและพระโอรส ซึ่งฝ่ายโอรสได้ฟังดังนั้นถึงกลับหมอบกราบขออภัยโทษเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตน พระศิวะทรงพอพระทัยยิ่งนัก ถึงกับประทานพรให้พระโอรสให้เป็นผู้มีอำนาจเหนือเหล่าภูตผีทั้งปวง และทรงแต่งตั้งให้เป็น คณปติ ผู้เป็นใหญ่ในที่สุด
ตำนานที่สาม ขวางคนชั่วที่ต้องการล้างบาป ณ เทวาลัยโสมนาถ และเทวาลัยโสมีศวร
ตำนานกล่าวถึงว่าพระปารวตีได้ทรงนำน้ำที่ใช้ในการสรงน้ำมาผสมเหงื่อไคล ปั้นเป็นเทวบุตรรูปเป็นมนุษย์แต่มีเศียรเป็นช้าง จากนั้นจึงนำน้ำจากพระคงคามาประพรมเพื่อให้มีชีวิตขึ้นมา โดยมีพระประสงค์ให้ไปขัดขวางคนชั่วที่จะไปบูชาศิวลึงค์ เพราะหวังที่จะล้างบาปตนเอง ณ เทวาลัยโสมนาถ และเทวาลัยโสมีศวร เพื่อไม่ให้ตนตกขุมนรก
จากเรื่องเล่านี้ ทำให้ชาวฮินดูทั้งหลายนิยมนำรูปปั้นพระพิฆเนศมาจุ่มน้ำ ณ วัดคเนศจาตุรถี หรือบางครั้งก็จะนำเทวรูปเล็กๆ นำไปทิ้งตามแม่น้ำคงคาด้วยความเชื่อที่ว่า น้ำจากแม่น้ำคงคาจะทำให้พระคเณศมีชีวิตขึ้นมานั่นเอง
ตำนานที่สี่ พระกฤษณะอวตาร
เล่าไว้ว่าเมื่อครั้งพระปารวตียังไม่มีโอรส พระศิวะเทพผู้สวามีจึงให้คำแนะนำว่าให้จัดทำพิธีปันยากพรต (การบูชาพระวิษณุเทพในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือนมาฆะ) โดยใช้เวลาในการทำพิธีตลอด 1 ปี ซึ่งหากทำโดยตลอดจนครบก็จะประสบความสำเร็จในการขอบุตร ซึ่งพระกฤษณะจะอวตารมาจุติ ต่อเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามคำของพระศิวะเทพแล้ว เหล่าเทพเทวดาทั้งหลายก็ได้มาร่วมอวยพรกับการถือกำเนิดของพระโอรสพระองค์นี้ รวมถึงเทพศนิ (พระเสาร์) ก็เข้ามาร่วมพิธีอวยพรด้วย ซึ่งพระศนิพระองค์นี้มีเรื่องกล่าวไว้ว่า เมื่อพระองค์ทรงเพ่งมองสิ่งใดมักจะเกิดไฟเผาผลาญสิ่งนั้นๆ จนหมดสิ้นไป
ในคราวเข้าร่วมพิธีอวยพร พระศนิก็ทรงได้ชื่นชมพระโอรส จนเผลอตนเพ่งมองพระโอรสจนเศียรของพระกุมารหลุดกระเด็นไปยังโคโลก (ที่ประทับพระกฤษณะ) พระศิวะจึงมีบัญชาให้พระวิษณุออกตามหาเศียรพระโอรส แต่ก็ไม่ทรงพบต่อมาเมื่อผ่านแม่น้ำบุษปภัทร พระวิษณุทรงแลเห็นช้างนอนหันหัวไปทางทิศเหนือ จึงตัดเศียรช้างนั้นนำกลับมาต่อให้พระโอรส
ตำนานที่ห้า พระศิวะ-พระปารวตีแปลงเป็นช้าง
คราหนึ่งพระศิวะและพระปารวตีได้เสด็จไปยังภูเขาหิมาลัย ได้แลเห็นช้างกำลังสมสู่กัน จึงบังเกิดความใคร่ จากนั้นจึงทรงแปลงกายเป็นช้างและสมสู่กันจนเกิดพระโอรส นามพระพิฆเนศ
ตำนานที่หก พระวิษณุเทพ เปล่งวาจากสิทธิ์ในพิธีโสกันต์
จากที่พระศิวะและพระปารวตีทรงจัดพิธีโสกันต์ให้กับพระโอรสในพิธีฤกษ์คือ วันอังคารจึงได้แจ้งเชิญเทพทั้งหลายทั้งมวลมาเป็นสักขีพยาน แต่คงยังขาดเพียงองค์วิษณุเทพที่ทรงอยู่ระหว่างบรรทม จนเมื่อใกล้เวลาอันเป็นมงคล พระศิวะเทพจึงทรงให้พระอินทร์นำสังข์ไปเป่าเพื่อปลุกให้พระวิษณุเทพตื่นจากบรรทม เมื่อพระวิษณุเทพทรงตืนจากบรรทมด้วยเสียงดังของสังข์ จึงทำให้พระวิษณุเทพพลั่งโอษฐ์ออกไปว่า "ไอ้ลูกหัวขาดจะนอนให้สบายก็ไม่ได้" เพียงวาจานี้ถึงกลับทำให้เศียรของพระโอรสหายไปในทันที เหล่าเทพทั้งหลายเมื่อเห็นดังนี้แล้วจึงปรึกษากันว่า วันอังคารถือเป็นฤกษ์ไม่ดีขอห้ามทำพิธีการมงคลใดๆ ทั้งมวล กลับถึงเรื่อง พระเศียรของโอรสพระศิวะเทพจึงมีบัญชาให้พระวิษณุกรรมไปตัดหัวมนุษย์ที่เพิ่งสิ้นชีวิต ณ ทิศตะวันตก แล้วนำกลับมาโดยเร็ว แต่ในวันนั้นหาได้มีมนุษย์ผู้ใดสิ้นอายุขัยลง พระวิษณุกรรมแลเห็นเพียงช้างพลายงาเดียวเท่านั้นที่สิ้นชีวิตลง จึงตัดหัวช้างพลายตัวนั้นกลับมาถวายพระศิวะเทพ
ในช่วงเวลาที่ศาสนาพุทธกำลังเติบโตในอินเดีย มีเรื่องเล่ากล่าวในตอนนี้ว่า เมื่อเทวดานำหัวช้างมาต่อแต่ก็ยังไม่สามารถทำให้พระโอรสฟื้นชีวิตได้ พระศิวะเทพจึงต้องให้พระวิษณุเทพไปทูลเชิญเสด็จพระศิริมานนท์อรหันต์ ให้โปรดเสด็จมาสวดพระคาถาชินบัญชรจนสำเร็จทำให้พระโอรสฟื้นชีวิต
หรือบ้างก็กล่าวว่าในพิธีโสกัณต์ พระราหูได้เตือนพระศิวะแล้วว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น จึงควรทูลเชิญเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าร่วมพิธีนี้ด้วย แต่พระศิวะเทพก็หารับฟังไม่ บ้างก็ว่าพระอังคารไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีจึงโกรธแค้น และได้ลอบตัดเศียรพระโอรสไปโยนทิ้งทะเล





พระศิวะ  เทพแห่งการทำลาย


พระศิวะ (คนไทยเรียกว่า พระอิศวร) เป็นบิดาของ พระพิฆเนศ มีชายาคือ พระแม่อุมาเทวี พระศิวะทรงเป็นมหาเทพผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล หนึ่งใน ตรีมูรติ หรือ 3 มหาเทพสูงสุดแห่งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ)
มีจุดเด่นคือ วรรณะสีขาว แดง หรือดำ เส้นพระเกศายาวมุ่นอย่างฤาษี มีพระจันทร์นเสี้ยวอยู่บนพระเกศ มีตรีเนตร (ดวงตาที่สาม) บนพระนลาฏ มีงูพันพระศอซึ่งป็นสีดำ  ห้อยประคำทรงอาวุธตรีศูล ที่คล้องไว้ด้วยกลองบัณเฑาะว์

พระองค์ทรงประทานพรวิเศษให้แก่ผู้หมั่นกระทำความดี และยึดมั่นในศีลธรรม หากผู้ใดประพฤติเพื่ออุทิศถวายแก่พระองค์แล้วปรารถนาสิ่งวิเศษใดๆ พระองค์ก็จะประทานพรนั้นๆให้ แต่เมื่อได้พรสมปรารถนาแล้ว วันหน้าหากกระทำผิดไปจากความดีงาม ผู้นั้นจะเกิดวิบัติในชีวิต พระศิวะเทพจะเป็นผู้ทำลายทันที!!

มีความเชื่อกันว่าพระศิวะนั้น สามารถช่วยปัดเป่ารักษาเยียวยาอากาศเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ ได้อย่างมหัศจรรย์นัก!! หากผู้ใดที่เจ็บป่วยหรือต้องการขอพรให้คนในครอบครัวหายเจ็บไข้ได้ป่วย
ถ้ากระทำการบวงสรวงบูชาและขอพรจากพระศิวะ ก็มักปรากฏว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นถูกปัดเป่าให้หายไปได้โดยสิ้นในเร็ววัน

พระองค์เป็นเทพที่จะคอยขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ห่างไกล และทำให้เกิดความดีงามเป็นศิริมงคลเกิดขึ้น ผู้ที่มีความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นในทางใด หากบวงสรวงบูชา ขอพรให้พ้นทุกข์ พระศิวะก็จะประทานพรให้ผู้นั้นได้พ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ด้วยเช่นกัน

พระศิวะ นั้นเป็นเทพที่จะอำนวยพรประทานความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ผู้ที่มีอาชีพเลี้ยงวัว เลี้ยงม้า หรือเลี้ยงแกะ และอาชีพที่เกี่ยวกับการเกษตรทั้งปวง ก็จะมีความสำเร็จและมีความสมบูรณ์พูนสุข หากบวงสรวงบชาพระศิวะ

นอกจากบทบาทความสำคัญโดยรวมที่กล่าวมาแล้วนั้น อีกบทบาทหนึ่งที่เด่นชัดแยกออกไป จากบทบาทของการเป็นมหาเทพ ผู้ทรงมีพระมหากรุณา ประทานพรแก่มวลมนุษย์นั้น พระศิวะยังทรงเป็นเทพแห่งคีตา คือเป็นเทพเจ้าแห่งการดนตรี และการร่ายรำ ระบำฟ้อนอีกด้วย

พระศิวะ ผู้เป็นพระเป็นเจ้าแห่งการทำลายล้าง พระองค์เปี่ยมไปด้วยอำนาจ พระพักตร์ของพระองค์แสดงให้เห็นว่าเป็นทั้งชาย เป็นทั้งหญิง เป็นทั้งผู้ใจดี เป็นทั้งผู้ดุร้าย จากชิ้นฝุ่นธุลี ไปจนถึงภูเขาหิมาลัย จากมดตัวเล็กๆ ไปจนถึงช้างตัวใหญ่ จากมนุษย์ไปจนถึงพระเป็นเจ้า อะไรก็ตามที่เราสามารถเห็นได้นั้น เป็นรูปแบบของพระศิวะทั้งหมด

ใน คัมภีร์อุปนิษัท ของฮินดู การท่องคำในพระคัมภีร์ส่วนมากมีคำว่า "ศิโวมฺสวหะ" (ข้าคือศิวะ) หมายความว่า บุคคลผู้มีสติปัญญาทุกๆคน ควรพิจารณาถึงตัวเอง และสิ่งทั้งหลายของสากลโลกเป็นรูปแบบของพระศิวะทั้งสิ้น เมื่อคิดระลึกได้อย่างนี้แล้ว ผู้นั้นก็จะเข้าถึงความสุขความสงบ





พระลักษมี เทพีแห่งความความงาม ความอุดมสมบูรณ์


พระลักษมี (สันสกฤต: ลกฺษฺมี) หรือ พระมหาลักษมี เป็นเทพีในศาสนาฮินดู โดยเป็นเทพีแห่งความร่ำรวย โชคชะตา ความรัก ความงาม ดอกบัว และความอุดมสมบูรณ์ รูปเคารพของพระแม่ลักษมีนั้นนอกจากจะพบในศาสนสถานของศาสนาฮินดูแล้ว ยังพบในศาสนสถานของศาสนาเชนและศาสนาพุทธ ในบางแห่งอีกด้วย พระลักษมีนั้นมีความคล้ายคลึงกันกับเทพีของกรีกองค์หนึ่ง คือเทพี "อโฟรไดท์ตี้" โดยที่เทพีทั้งสองนี้ ถือกำเนิดจากมหาสมุทรเหมือนกัน และเป็นตัวแทนของความสวยงามเหมือนกันอีกด้วย

พระแม่ลักษมี เป็นชายาของ พระวิษณุ เมื่อพระวิษณุได้อวตารเป็นพระราม พระแม่ลักษมีก็ได้อวตารตามไปเป็นนางสีดา และเมื่อพระวิษณุอวตารเป็นพระกฤษณะ พระแม่ลักษมีก็ได้อวตารเป็น พระนางรัตตะ(พระราธา)






พระวิษณุ (Vishnu) หรือพระนารายณ์ เทพผู้ดูแลรักษา


พระวิษณุ (Vishnu) หรือเรียกอีกอย่างว่า พระนารายณ์ เป็น1 ใน 3 มหาเทพ มีหน้าที่คุ้มครองแลดูแลรักษาทั้ง 3 โลกตามความเชื่อของชาวฮินดู จากคัมภีร์พราหมณ์ รูปร่างลักษณะมีพระวรกายจะมีสีที่เปลี่ยนไปตามยุค ฉลองพระองค์ดั่งกษัตริย์ มีมงกุฎทอง อาภรณ์สีเหลือง มี 4 กร ถือ สังข์ จักร ตรี คทา แต่ที่จะพบเห็นได้บ่อยที่สุดคือถือ จักร์ สังข์ คทา ส่วนอีกกรจะถือ ดอกบัวบ้าง หรือ ไม่ถืออะไรเลยบ้าง(โดยจะอยู่ในลักษณะ"ประทานพร")

โดยปรกติ พระวิษณุ จะทรงประทับอยู่ที่เกษียรสมุทร โดยส่วนมากจะทรงบรรทมอยู่บนหลัง อนันตนาคราช โดยมีพระชายาคือ พระลักษมีมหาเทวี คอยฝ้าดูแลปรนิบัติอยู่ข้างๆเสมอ พาหนะของพระวิษณุคือ พญาครุฑ

พระวิษณุ มีอีกชื่อหนึ่งว่า "หริ" แปลว่าผู้ดูแลแห่งจักรวาลถือเป็นเทพสูงสุด เพราะทุกอย่างเกิดจาก "หริ" โดย"หริ"ได้แบ่งตนเองออกเป็น 3 คือ
พระพรหม มีหน้าที่สร้างและลิขิตสรรพสิ่งทั้งปวงในทั้งสามโลก 
พระวิษณุ หรือ พระหริ มีหน้าที่ดูแลทั้งสามโลกให้อยู่ในความเรียบร้อย และสมดุล 
พระศิวะ มีหน้าที่ทำลายสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวงในโลกทั้งสาม

การกำเนิดของพระวิษณุ ในคัมภีร์ไวษณพนิกาย (นับถือพระวิษณุเป็นใหญ่)กล่าวว่าเมื่อยามที่พระวิษณุผู้เป็นใหญ่แห่งจักรวาลมีประสงค์จะสร้างโลกทั้ง 3 นั้น ท่านได้เห็นว่าการสร้างโลกทั้ง 3 นี้ เป็นงานที่หนักสำหรับคนเพียงคนเดียว ท่านจึงแบ่งบางส่วนของร่างกายพระองค์ออกเป็นมหาเทพทั้ง 3 พระองค์ โดยแขนซ้ายเป็นพระพรหม แขนขวาเป็นพระศิวะ และส่วนอกเป็น พระวิษณุ (แม้แต่ในรูปตรีมูรติ ก็จะเห็นว่า พระพักตร์ของพระวิษณุจะอยู่ตรงกลางเสมอ)

ส่วนในคัมภีร์ของไศวนิกาย(นับถือพระศิวะเป็นใหญ่)จะกล่าวต่างออกไปคือ พระปรเมศวร” (พระศิวะ) เป็นผู้สร้างพระวิษณุ เนื่องจากทรงมีพระประสงค์จะสร้างสวรรค์และโลก ซึ่งถือว่าเป็นงานใหญ่ จึงได้ทรงต้องการผู้ช่วย โดยการนำหัตถ์ซ้ายมาลูบหัตถ์ขวา จึงบังเกิดเป็นเทพชื่อ พระวิษณุหรือ พระนารายณ์พระปรเมศวร ได้สอนศิลปะด้านต่าง ๆ ให้กับพระวิษณุ ในทุกด้าน และให้ประทับอยู่ ณ เกษียรสมุทร เมื่อเกิดเหตุร้ายในโลกมนุษย์ หรือสวรรค์เมื่อใด พระวิษณุก็จะมีหน้าที่ไปปราบปรามเหล่าอสูร และผู้ประสงค์ร้ายนั้น ๆ โดยในบางคราวก็จะได้รับการร้องขอจากเหล่าเทพเทวดาบ้าง

คัมภีร์มหาภารตะ เล่าไว้ถึงพระนารายณ์ว่าแต่เดิมคือฤๅษีตนหนึ่ง เป็นบุตรของฤๅษีธรรมมะ ได้เดินทางจากโลกมนุษย์ ไปสู่สถานที่ของพวกพราหมณ์พร้อมเพื่อนสนิทนามว่า นรเพื่อบำเพ็ญเพียรจนได้รับการเคารพบูชาจากเทพเทวดาทั้งมวล ต่อมาได้รับการขอร้องจากเหล่าเทวดาให้ช่วยปราบอสูรที่สร้างความเดือดร้อน ฤๅษีทั้งสองจึงได้รับปากช่วยเหลือโดยได้ออกรบกับอสูรจนได้รับชัยชนะ จึงได้รับความเคารพนับถือจากเหล่าเทวดายิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน จนภายหลังฤๅษีนารายณ์ได้ออกเดินทางไปบำเพ็ญตนยังหิมาลัยจนบรรลุผลเป็นพราหมณ์ (ผู้รู้แจ้งทุกสิ่งในโลก) และได้เป็นผู้นำเหล่าพราหมณ์ในเวลาต่อมา จากการยกย่องบูชาตลอดที่ผ่านมาจนเป็นที่รู้จักในนาม พระวิษณุ(นารายณ์)

พระนามของพระวิษณุ พระนารายณ์ มีผู้ขนานนามเรียกขานจากความแตกต่างกันตามความเชื่อ พระนามตามฤทธิ์อำนาจ และตามเหตุการณ์ที่ต่างกันตามกาล อาทิ อนันตะ ไม่สิ้นสุด จตุรภุช มี 4 กร มุราริ เป็นศัตรูแห่งมุระ นระ (นะระ) ผู้ชาย นารายณ์ ผู้ที่เคลื่อนไปในน้ำ ปัญจายุทธ พระผู้ทรงอาวุธทั้ง 5 อย่าง ปีตามพร ทรงเครื่องสีเหลือง ทโมทร มีเชือกพันเอาไว้รอบเอว กฤษณะ, โควินทะ, โคบาล ผู้เลี้ยงวัว ชลศายิน ผู้นอนเหนือน้ำ พระพิษณุหริ ผู้สงวน อนันตไศยน นอนบนอนัตนาคราช ลักษมีบดี ผู้เป็นสามีของพระลักษมี วิษว์บวร ผู้คุ้มครองโลก สวยภู เกิดเอง เกศวะ มีผมอันงาม กิรีติน ผู้ใส่มงกุฎ พระวิษณุ พระนารายณ์ ทรงประทับบนสวรรค์ เรียก ไวกูณฐ์ พาหนะ คือครุฑ พระวรกายสีนิล ฉลองดั่งกษัตริย์ มีมงกุฎ อาภรณ์สีเหลือง มี 4 กร ถือ สังข์ จักร ตรี คทา บ้างก็กล่าวไว้ว่าทรงถือ ดอกบัว ลูกศร ดอกไม้ หรือเชือกบ่วงบาศ หรือสายฟ้า อาวุธประจำที่ใช้ คือ สังข์ จักร คทา ธนู และพระขรรค์


ความสำคัญด้านศาสนา-ลัทธิ
เมื่อลัทธิไวษณพนิกาย ซึ่งนับถือว่าพระวิษณุทรงเป็นใหญ่เหนือมหาเทพทั้งหลายในตรีมูรติ มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นในสมัยราชวงศ์คุปตะ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 3-6 และกษัตริย์อินเดียในราชวงศ์นี้ส่วนมากจะนับถือลัทธินี้ และทรงรับลัทธินี้ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และเอาถือว่าการอวตารขององค์พระวิษณุ เป็นหัวใจที่สำคัญของลัทธิภควตา (Bhagavata) ซึ่งเกิดขึ้นมาในสมัยราชวงศ์คุปตะและเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเป็นลำดับแม้ว่าราชวงศ์คุปตะจะเสื่อมลงแล้วก็ตามลัทธินี้ก็ยังคงอยู่ ชาวฮินดูยังเคารพบูชาปางอวตารของพระวิษณุกันมาก แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ก็ยังมีการนับถืออยู่

การอวตาร (Avatar) หรือในภาษาอังกฤษว่า “Incarnation” แปลว่า การลงมาคือการลงมาเกิดเป็นมนุษย์หรือ การเข้าในร่างของมนุษย์หมายถึง พระวิษณุเสด็จลงมาเกิดบนโลกมนุษย์เป็นภาคเป็นตอนต่าง ๆ กันเพื่อปราบยุคเข็ญในโลกให้หมดสิ้นไป ถือเป็นปฏิบัติการอันสำคัญยิ่งของพระวิษณุ เมื่อมียุคเข็ญเกิดบนโลกมนุษย์ พระวิษณุก็จะอวตารลงมาช่วยขจัดปัดเป่าเสีย

การอวตารของพระวิษณุ
การอวตารของพระวิษณุนั้นทรงอวตารเป็นทั้งมนุษย์และสัตว์ และการอวตารของพระองค์จะเป็นไปตามศิวะโองการ (คำสั่งของพระศิวะ) และการอัญเชิญขอร้องของหมู่เทวดา การอวตารของพระวิษณุบ้างก็ว่ามีมากจนนับได้ยาก แต่ปางที่มีจุดประสงค์เพื่อมาช่วยเทวดา และมนุษย์โลกนี้มีทั้งหมด 25 ปาง แต่ปางที่ถือเป็นปางที่สำคัญที่สุดมี 10 ปาง
ปางที่ 1 มัตสยาวตาร (อวตารเป็นปลา)เพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์และสัตว์ให้พ้นจากน้ำท่วมโลก
ปางที่ 2 กูรมาวตาร (อวตารเป็นเต่า)เพื่อช่วยเหล่าเทวะและอสูรกวนเกษียรสมุทร
ปางที่ 3 วราหาวตาร (อวตารเป็นหมูป่า)มีสองตำนานหลักๆคือ 1)เพื่อปราบอสูรนาม"หิรัณยากษะ"ซึ่งลักเอาแผ่นธรณีไปโดยการม้วนแล้วเหน็บไว้ที่ข้างกาย และ 2)เพื่อยุติการประลองพลังอำนาจกันระหว่าง พระศิวะ และ พระพรหม
ปางที่ 4 นรสิงหาวตาร (อวตารเป็นครึ่งสิงห์)เพื่อปราบอสูรนาม "หิรัณยกศิปุ" ผู้เป็นน้องชายของ "หิรัณยากษะ"
ปางที่ 5 วามนาวตาร (อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย)เพื่อปราบอสูรนาม "พาลี" ผู้เป็นเหลนของ "หิรัณยกศิปุ"
ปางที่ 6 ปรศุรามาวตาร (อวตารเป็นพราหม์ผู้ใช้ขวานเป็นอาวุธ)เพื่อปราบกษัตริย์(ผู้เป็นมนุษย์)นาม "พระเจ้าอรชุน" หรือ "พระเจ้าสหัสอรชุน" ผู้มีใบหน้า 1พันหน้า ผู้ก่อยุคเข็ญและทำลายล้างศาสนา
ปางที่ 7 รามาวตาร หรือ รามจันทราวตาร(อวตารเป็นพระราม กษัตริย์แห่งอโยธยา)เพื่อปราบอสูรนาม "ราวณะ" หรือ "ราพณ์" หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม "ทศกัณฐ์" กษํตริย์ แห่งกรุงลงกา ปางนี้เป็นหลักในการจัด จารีต และ ขนบธรรมเนียม ประเพณีของสังคมอินเดีย
ปางที่ 8 กฤษณาวตาร (อวตารเป็นพระกฤษณะ)เพื่อขับรถม้าให้ "พระอรชุน" และสอนวิถี และวิธีการดำเนินชีวิต ให้แก่พระอรชุน
ปางที่ 9 พุทธาวตาร (อวตารเป็นพระพุทธเจ้า)ชาวฮินดูมีความเชื่อว่าพระนารายณ์อวตารในปางนี้เพื่อหลอกลวงให้พวกนอกรีตที่ไม่นับถือวรรณะแยกออกไปจากศาสนาพราหมณ์ ; ในบางแห่งเชื่อว่าปางที่เก้านี้คือ พลรามาวตาร (อวตารเป็นพลราม)หรือพระพลรามซึ่งเป็นพี่ชายของพระกฤษณะ เป็นการอวตารคู่กับพระกฤษณะ
ปางที่ 10 กัลกยาวตาร หรือ กัลกิยาวตาร(อวตารเป็นมนุษย์ผู้ขี่ม้าขาว หรือ กัลกี)เป็นอวตารที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่เป็นการทำนายอนาคตไว้ว่า ในยามที่เป็นปลายแห่งกลียุค ที่ที่เมื่อผู้คนไม่รู้จักธรรมะ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีอีกต่อไป โลกทั้งโลกต้องเผชิญกับยุคเข็ญไปทุกหย่อมหญ้า จะมีบุรุษขี่ม้าปรากฏตัวขึ้นเพื่อปัดเป่าความทุกข์ยาก และนำธรรมะกลับมาสู่มวลมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง


พระนารายณ์ 10 ปาง ในพระพุทธศาสนา
อาจเป็นไปได้ว่าชาวพุทธไม่ชอบการที่ฮินดูนำพระศาสดาของพุทธ ไปเป็นอวตารปางหนึ่งของมหาเทพของเขา จึงมีการสลับปางที่ไม่สำคัญเข้ามาแทน
ปางที่ 1 วราหาวตาร (อวตารเป็นหมูเผือกเขี้ยวเพชร)
ปางที่ 2 กูรมาวตาร (อวตารเป็นเต่าทอง)
ปางที่ 3 มัตสยาวตาร (อวตารเป็นปลากรายทอง)
ปางที่ 4 นรสิงหาวตาร (อวตารเป็นครึ่งสิงห์)
ปางที่ 5 วามนาวตาร หรือ ทวิชาวตาร (อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย)
ปางที่ 6 มหิงสาวตาร (อวตารเป็นมหิงสา หรือควาย)
ปางที่ 7 อัปสราวตาร (อวตารเป็นนางฟ้า)
ปางที่ 8 รามาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์ชื่อพระราม)
ปางที่ 9 กฤษณาวตาร (อวตารเป็นพระกฤษณะ)
ปางที่ 10 กัลกยาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์เรียกว่า วีรบุรุษขี่ม้าขาว)



ความเชื่อและคตินิยม

พระวิษณุ หรือคนไทยมักเรียกว่า พระนารายณ์ มี 4 กร และมีอาวุธอยู่ทั้ง 4 พระหัตถ์ ประกอบด้วย ตรี คทา จักร สังข์ เป็นเทพผู้สร้างโลก เทพผู้ถ่ายทอด สรรพวิชาช่างต่างๆ โดยได้รับพรและ พลังอันศักดิ์สิทธิ์มากมายจากพระอิศวร จึงมีฤทธิ์ไม่แพ้กัน และยังมีความเชื่อว่า ใครบูชาท่านแล้วจะได้รับความคุ้มครอง และมีโชคลาภ แต่จะต้องเป็นคนมีสัจจะ รักษาศีล รวมทั้งเจริญภาวนาเป็นที่ตั้ง

คำบูชาพระวิษณุ (นารายณ์) โอมนะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุเม ทุติยัมปินะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุเม ตะติยัมปินะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุเม ฯ

บทอธิฐานขอพร พระนารายณ์ โอมศานตาการัม ภุชะคะศะยะนัม ปัทมะนาภัมสุ ุเรศัม วิศวาธารัม คะคะนะสะทฤศัม เมฆะวรรณัม ศุภางคัม ลักษมีกานตัม กะมะละนะยะนัม โยคิภีร์ ธยานะคัมมยัม วันเทวิษณุมอภะวะภะยะหะรัม สรรวะโลกัยกานาถัม ฯ

บทอธิฐานขอพร พระวิษณุ โอมสะศางขะจักรัม สะกิริฏะ กุณตะลัม สปิตะวัสตรัม สะระสีรูเหกษณัม สะหาระวักษะสถะละ เกาสตุภะ ศริยัม นะมามิ วิษณุม ศิระสา จตุรภุซัม ฯ

บทอธิฐานขอพร พระราม โอมนีลามพุชะ ศยามะละ โกมะลางคัมสีตา สมา โรปิตะ วามะภาคัม ปาเณา มหาสายะกะ จารุ จาปัม นะมามิ รามัม ระฆุวัมศะ นาถัม ฯ


ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : google


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น